
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อหนังสือ: 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต (12 Rules for Life: An Antidote to Chaos)
ผู้เขียน: จอร์แดน บี. ปีเตอร์สัน (Jordan B. Peterson)
ผู้แปล: ธนพร ศิริอนันต์
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WELEARN)
ปีที่พิมพ์: 2564
จำนวนหน้า: 495 หน้า
เกี่ยวกับผู้เขียน
จอร์แดน บี. ปีเตอร์สัน เป็นนักจิตวิทยาคลินิก ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโต และนักเขียนชาวแคนาดา ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและมีชื่อเสียงด้านการพูดที่มีพลัง ผลงานของเขาผสมผสานแนวคิดทางจิตวิทยา ปรัชญา ศาสนา และเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีระดับนานาชาติที่ได้รับการแปลมากกว่า 50 ภาษา
แนวคิดหลักของหนังสือ
ปีเตอร์สันนำเสนอแนวคิดเรื่อง “ความเป็นระเบียบ” (Order) และ “ความโกลาหล” (Chaos) ว่าเป็นสองพลังที่มีอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน โดยที่:
- ความเป็นระเบียบ คือ โลกที่มีโครงสร้าง มีความแน่นอน มีกฎเกณฑ์ชัดเจน
- ความโกลาหล คือ ความไม่แน่นอน ความยุ่งเหยิง สิ่งที่เราไม่รู้หรือควบคุมไม่ได้
หนังสือนี้นำเสนอ 12 กฎที่จะช่วยให้เราสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายท่ามกลางความซับซ้อนของโลก
สรุป 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต
กฎข้อที่ 1: “ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง”
ปีเตอร์สันเปรียบเทียบมนุษย์กับลอบสเตอร์ที่มีลำดับชั้นทางสังคม ท่าทางของร่างกายส่งผลต่อการทำงานของสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะเซโรโทนิน ซึ่งควบคุมความเชื่อมั่นและความรู้สึกมีคุณค่า
เมื่อเรายืนตัวตรง ระดับเซโรโทนินจะเพิ่มขึ้น ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น ความวิตกกังวลลดลง และยังส่งผลให้คนอื่นมองเราในแง่บวกมากขึ้น เปรียบเสมือนวงจรแห่งความสำเร็จที่ดึงดูดโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต ในทางกลับกัน การห่อไหล่ หลังงอ จะส่งผลตรงข้าม
ข้อคิด: ท่าทางของร่างกายส่งผลโดยตรงต่อจิตใจและอารมณ์ การปรับเปลี่ยนอิริยาบถภายนอกสามารถเปลี่ยนความรู้สึกภายในได้จริง
กฎข้อที่ 2: “ดูแลตัวเองให้ดี เหมือนเวลาที่ดูแลคนอื่น”
คนเรามักทุ่มเทดูแลคนที่รักด้วยความใส่ใจ แต่กลับละเลยตัวเอง เช่น เมื่อสัตว์เลี้ยงหรือคนที่เรารักป่วย เราจะพาไปหาหมอและดูแลอย่างดี แต่เมื่อตัวเองป่วย กลับไม่ค่อยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ปีเตอร์สันอธิบายว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองชัดกว่าคนอื่น จนรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ เราจึงควรเห็นคุณค่าของตัวเอง ตระหนักว่าตัวเรามีความสำคัญและควรได้รับการดูแลที่ดีเช่นกัน
ข้อคิด: การดูแลตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้ตนเองเพื่อที่จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
กฎข้อที่ 3: “คบหาคนที่อยากให้คุณได้ดี”
ปีเตอร์สันเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเพื่อนสมัยวัยรุ่นที่ติดยาและมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เขาเน้นย้ำว่าการคบหาบุคคลที่มีปัญหา แม้จะด้วยความหวังดีอยากช่วยเหลือ แต่หากเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็มักจะดึงเราลงไปสู่พฤติกรรมเชิงลบแทน
มิตรภาพที่ดีควรเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในทางสร้างสรรค์ เพื่อนที่ดีคือคนที่กล้าบอกความจริง คอยผลักดันให้เราเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง แม้บางครั้งอาจทำให้เจ็บปวด
ข้อคิด: จงเลือกคบคนที่จะช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนา ไม่ใช่คนที่จะดึงคุณลงไปสู่ความเสื่อมถอย
กฎข้อที่ 4: “เปรียบเทียบตัวคุณกับคนที่คุณเป็นในอดีต ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเป็นในวันนี้”
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นมักนำไปสู่ความทุกข์ โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียที่เราเห็นแต่ด้านที่สวยงามของชีวิตคนอื่น ทำให้รู้สึกด้อยค่าและไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี
ปีเตอร์สันแนะนำให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ เพื่อพัฒนาตัวเองทีละน้อย และเปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตแทน เมื่อทำเช่นนี้ต่อเนื่อง ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อคิด: ความก้าวหน้าที่แท้จริงวัดจากพัฒนาการของตัวเราเอง ไม่ใช่จากการเปรียบเทียบกับคนอื่น
กฎข้อที่ 5: “อย่าให้ลูกของคุณทำสิ่งใดที่จะทำให้คุณไม่ชอบพวกเขา”
ปีเตอร์สันเชื่อว่าเด็กไม่ได้เกิดมาเป็น “ผ้าขาว” แต่มีธรรมชาติเชิงรุกมาแต่กำเนิด พ่อแม่จึงมีหน้าที่สำคัญในการฝึกวินัยและสอนให้เด็กเรียนรู้กฎเกณฑ์ทางสังคม
การฝึกวินัยที่ดีควรมีหลักการดังนี้:
- ไม่ตั้งกฎมากเกินจำเป็น
- ใช้การบังคับให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
- พ่อแม่ควรช่วยกันเลี้ยงดู
- ยอมรับว่าบางครั้งอาจรู้สึกหงุดหงิดกับลูกได้
- เป็นตัวแทนของโลกแห่งความเป็นจริงให้กับลูก
ข้อคิด: การปล่อยให้เด็กทำตามใจโดยไม่มีขอบเขต ไม่ใช่การแสดงความรัก แต่เป็นการทำร้ายอนาคตของพวกเขา การสร้างวินัยที่เหมาะสมคือการแสดงความรักที่แท้จริง
กฎข้อที่ 6: “ดูแลบ้านของคุณให้เรียบร้อยก่อนที่จะวิจารณ์โลก”
หลายคนชอบวิจารณ์ปัญหาของสังคมและโลก แต่กลับละเลยการจัดการกับปัญหาในชีวิตตนเอง ปีเตอร์สันเตือนว่า ก่อนที่จะไปตำหนิระบบหรือผู้อื่น ควรหันมาดูแลสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนให้ดีก่อน
เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว เช่น การจัดระเบียบห้อง การทำงานให้เต็มความสามารถ การดูแลความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เมื่อจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีแล้ว จึงค่อยขยายวงกว้างออกไป
ข้อคิด: การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเริ่มต้นจากภายในตัวเราเอง ไม่ใช่การโทษปัจจัยภายนอก
กฎข้อที่ 7: “ทำสิ่งที่มีความหมาย (ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายทันใจ)”
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเลือกทำสิ่งที่ให้ความพึงพอใจในระยะสั้น เช่น การผัดวันประกันพรุ่ง การหมกมุ่นกับความบันเทิงที่ไร้สาระ แทนที่จะทำสิ่งที่มีความหมายในระยะยาว
ปีเตอร์สันชี้ให้เห็นว่า การเลือกทำสิ่งที่มีความหมาย แม้จะยากและใช้เวลานาน แต่จะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ลึกซึ้งกว่าในระยะยาว และช่วยให้ชีวิตมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ข้อคิด: ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากความสะดวกสบาย แต่มาจากการได้ทุ่มเทกับสิ่งที่มีคุณค่าและความหมาย
กฎข้อที่ 8: “พูดความจริง หรืออย่างน้อยก็ไม่โกหก”
การโกหก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็สามารถสะสมและนำไปสู่ผลเสียที่ใหญ่ขึ้นได้ ปีเตอร์สันเน้นย้ำว่า การพูดความจริงเป็นรากฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ที่ดี
การโกหกตัวเองและผู้อื่น จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา ไม่สามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้
ข้อคิด: การพูดความจริง แม้จะยาก แต่เป็นการแสดงความเคารพต่อตนเองและผู้อื่น และเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี
กฎข้อที่ 9: “สงสัยไว้ก่อนว่า คนที่คุณกำลังฟังอาจรู้บางสิ่งที่คุณไม่รู้”
ในการสนทนา เรามักพยายามแสดงความรู้หรือโน้มน้าวผู้อื่นให้เห็นด้วยกับเรา แทนที่จะเปิดใจรับฟัง ปีเตอร์สันแนะนำให้เราฟังอย่างตั้งใจ โดยตระหนักว่าคู่สนทนาอาจมีมุมมองหรือความรู้ที่เราไม่มี
การรับฟังอย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงการรอให้อีกฝ่ายพูดจบเพื่อจะได้พูดบ้าง แต่เป็นการเปิดใจรับความคิดใหม่ๆ และเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
ข้อคิด: ภูมิปัญญาไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่เรารู้ แต่รวมถึงความสามารถในการเรียนรู้จากผู้อื่นด้วย
กฎข้อที่ 10: “พูดอะไรให้ชัดเจน”
การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนเป็นรากฐานของปัญหาความสัมพันธ์มากมาย ปีเตอร์สันยกตัวอย่างคู่สมรสที่กำลังจะเลิกกัน เพราะไม่สามารถสื่อสารความต้องการและความรู้สึกที่แท้จริงให้อีกฝ่ายเข้าใจได้
การพูดให้ชัดเจนหมายถึงการกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ระบุสิ่งที่กังวลอย่างตรงไปตรงมา และแสดงความต้องการออกมาอย่างเปิดเผย แทนที่จะปล่อยให้ความไม่เข้าใจสะสมจนกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่โต
ข้อคิด: ปัญหาที่ถูกระบุอย่างชัดเจนคือปัญหาที่แก้ได้ การหลีกเลี่ยงการพูดคุยตรงๆ จะทำให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นวิกฤติในที่สุด
กฎข้อที่ 11: “อย่าไปยุ่งเวลาที่เด็กๆ กำลังเล่นสเกตบอร์ด”
ความเสี่ยงและความท้าทายเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตและพัฒนา ปีเตอร์สันชี้ให้เห็นว่า มนุษย์โดยธรรมชาติแล้วถูกสร้างมาให้ชอบเสี่ยง ทดสอบขีดจำกัด และเรียนรู้จากความล้มเหลว
การปกป้องมากเกินไปจะขัดขวางการพัฒนา ทำให้ไม่สามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้ เด็กๆ ต้องได้รับโอกาสในการเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและความมั่นใจ
ข้อคิด: การเติบโตเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย การปกป้องมากเกินไปอาจทำให้อ่อนแอลงในระยะยาว
กฎข้อที่ 12: “หยุดเพื่อลูบแมวที่คุณพบเจอตามถนนบ้าง”
ท่ามกลางความเครียดและปัญหาของชีวิต เราควรหาเวลาหยุดชื่นชมความงามและความสุขเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ปีเตอร์สันเปรียบเทียบกับการหยุดเดินเพื่อลูบแมวที่พบตามถนน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและมีความสุข
การรับรู้และชื่นชมความงามรอบตัว แม้ในวันที่แย่ที่สุด จะช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะเผชิญกับความยากลำบากต่อไป
ข้อคิด: ชีวิตไม่ได้มีแต่ปัญหาและความทุกข์ การหยุดชื่นชมความงามและความสุขเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยสร้างสมดุลให้กับชีวิต
บทวิจารณ์หนังสือ
“12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” เป็นหนังสือที่นำเสนอแนวคิดที่ลึกซึ้งและมีประโยชน์ ผสมผสานความรู้จากหลากหลายศาสตร์ ทั้งจิตวิทยา ชีววิทยา ปรัชญา และเรื่องเล่าทางศาสนา เพื่ออธิบายหลักการพื้นฐานในการดำเนินชีวิตที่มีความหมาย
จุดเด่นของหนังสือคือการใช้ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน เช่น การเปรียบเทียบมนุษย์กับลอบสเตอร์ในเรื่องลำดับชั้นทางสังคม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ปีเตอร์สันยังสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวในชีวิตประจำวันเข้ากับแนวคิดเชิงปรัชญาได้อย่างน่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเขียนของปีเตอร์สันอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาวกวนหรือเข้าใจยากในบางช่วง เนื่องจากมีการอ้างอิงถึงเรื่องราวในคัมภีร์ทางศาสนา ทฤษฎีจิตวิทยา และแนวคิดปรัชญามากมาย ทำให้ในบางบทต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำความเข้าใจ
แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือ กฎแต่ละข้อล้วนเป็นหลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกฎข้อที่ 10 “พูดอะไรให้ชัดเจน” ที่เน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน ครอบครัว หรือคู่ชีวิต
สรุปแล้ว “12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” เป็นหนังสือที่ท้าทายให้ผู้อ่านมองชีวิตในมุมที่ลึกซึ้งขึ้น และมอบเครื่องมือที่จะช่วยให้เผชิญกับความซับซ้อนของโลกได้อย่างมั่นคงและมีจุดยืน แม้ว่าจะไม่ใช่หนังสือที่อ่านง่ายหรือเข้าใจได้ในทันที แต่เป็นหนังสือที่คุ้มค่ากับการลงทุนเวลาและความพยายามในการอ่านอย่างแน่นอน
สรุป
“12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” เป็นหนังสือที่ให้แนวทางในการดำเนินชีวิตที่มีความหมายและสมดุล กฎ 12 ข้อที่ปีเตอร์สันนำเสนอเป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางในโลกที่ซับซ้อนและบางครั้งก็น่ากลัว เขาเชื่อว่าการมีความรับผิดชอบ การพูดความจริง และการมุ่งมั่นทำสิ่งที่มีความหมาย จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าทั้งสำหรับตัวเราเองและผู้อื่น
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เสนอทางลัดสู่ความสำเร็จหรือความสุข แต่เป็นการเตือนใจว่า ชีวิตที่ดีต้องอาศัยความพยายาม ความอดทน และความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและความไม่แน่นอน ด้วยท่าทีที่ตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและผู้อื่น