สรุปรีวิวหนังสือ SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ

SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ
SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ (Sapiens: A Brief History of Humankind)

ชื่อผู้แต่ง : ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari)

ผู้แปล : นำชัย ชีววิวรรธน์

สำนักพิมพ์ : ยิปซี (Gypzy)

ปีที่พิมพ์ : 2558 (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ ค.ศ. 2014)

จำนวนหน้า : 608 หน้า

หมวดหนังสือ : ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ความรู้ทั่วไป

สารบัญ

  • ส่วนที่หนึ่ง: การปฏิวัติการรับรู้
  • ส่วนที่สอง: การปฏิวัติเกษตรกรรม
  • ส่วนที่สาม: การรวมเป็นหนึ่งของมนุษยชาติ
  • ส่วนที่สี่: การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
  • บทส่งท้าย: สัตว์ที่กลายไปเป็นพระเจ้า

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ” เป็นงานเขียนที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางทั่วโลก เขียนโดย ยูวัล โนอาห์ แฮรารี นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ชาวอิสราเอล หนังสือเล่มนี้นำเสนอประวัติศาสตร์มนุษยชาติในมุมมองที่กว้างและลึก ผ่านการปฏิวัติครั้งสำคัญ 3 ครั้ง ได้แก่ การปฏิวัติการรับรู้ การปฏิวัติเกษตรกรรม และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้มนุษย์เฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) ผงาดขึ้นมาเป็นสปีชีส์ที่มีอำนาจมากที่สุดบนโลกใบนี้

1. มนุษย์สร้างความร่วมมือระดับมวลชนได้ด้วยเรื่องเล่าและความเชื่อร่วมกัน

แฮรารีอธิบายว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นคือความสามารถในการสร้าง “เรื่องเล่า” หรือ “ความเชื่อร่วม” ที่ไม่มีอยู่จริงทางกายภาพ แต่มีอยู่ในจินตนาการร่วมกันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา กฎหมาย ประเทศชาติ เงินตรา หรือบริษัท สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและเชื่อร่วมกัน ทำให้มนุษย์สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ข้ามพันธุกรรมได้ การสร้างเรื่องเล่าร่วมกันนี้เป็นรากฐานของสังคมมนุษย์และเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เราสามารถเอาชนะข้อจำกัดทางชีววิทยาได้

2. การปฏิวัติการรับรู้คือจุดเริ่มต้นความสำเร็จของเซเปียนส์

เมื่อประมาณ 70,000 ปีที่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างสมองของมนุษย์เซเปียนส์ ที่ผู้เขียนเรียกว่า “การปฏิวัติการรับรู้” ทำให้มนุษย์มีความสามารถในการคิดอย่างซับซ้อนและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาภาษาที่ยืดหยุ่น ซึ่งไม่เพียงใช้ในการสื่อสารเรื่องรอบตัว แต่ยังสามารถพูดถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงได้ ความสามารถนี้ทำให้เซเปียนส์มีข้อได้เปรียบเหนือมนุษย์สปีชีส์อื่นๆ และสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหมด จนสามารถขยายอาณาเขตไปทั่วโลกและกำจัดคู่แข่งได้ในที่สุด

3. การปฏิวัติเกษตรกรรมคือกับดักที่เราติดอยู่

แฮรารีมองว่า การปฏิวัติเกษตรกรรมเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน ที่มนุษย์เปลี่ยนจากการเป็นนักล่าและเก็บของป่ามาเป็นเกษตรกร อาจไม่ใช่ความก้าวหน้าของมนุษยชาติอย่างที่เรามักเข้าใจกัน แต่กลับเป็น “กับดัก” ที่ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ต้องทำงานหนักขึ้น เสี่ยงกับโรคระบาดและความอดอยาก เพียงเพื่อให้ประชากรเพิ่มขึ้นและเลี้ยงชนชั้นปกครอง การปฏิวัติครั้งนี้เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปจนมนุษย์ไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ชีวิตแบบเดิมได้อีก แม้ว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากกว่าก็ตาม

4. อารยธรรมมนุษย์สร้างขึ้นบนความไม่เท่าเทียม

หนังสือชี้ให้เห็นว่า สังคมมนุษย์ขนาดใหญ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเต็มไปด้วยการแบ่งแยกและความไม่เท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นระบบชนชั้น การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือความไม่เท่าเทียมทางเพศ แฮรารีอธิบายว่าความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางชีววิทยา แต่เกิดจากเรื่องเล่าและระบบความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง โดยเฉพาะหลังการปฏิวัติเกษตรกรรมที่นำไปสู่การสะสมทรัพย์สินและการเกิดชนชั้นปกครอง

5. เงินคือเรื่องเล่าที่ประสบความสำเร็จที่สุด

แฮรารีนำเสนอว่า “เงิน” คือเรื่องเล่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เกือบทุกคนเชื่อและยอมรับ เงินไม่มีมูลค่าในตัวมันเอง แต่มีค่าเพราะมนุษย์เชื่อร่วมกันว่ามันมีค่า ระบบเงินตราช่วยให้มนุษย์ที่ไม่รู้จักกันสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสร้างมาตรฐานร่วมกันที่วัดมูลค่าของทุกสิ่ง ความเชื่อในระบบเงินตรานี้ได้ช่วยหลอมรวมระบบเศรษฐกิจของโลกเข้าด้วยกัน และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาสังคมมนุษย์

6. จักรวรรดิคือกลไกผนึกรวมมนุษยชาติ

จักรวรรดิหรืออาณาจักรเป็นปัจจัยสำคัญในการรวมกลุ่มมนุษย์ที่หลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว แฮรารีอธิบายว่าจักรวรรดิมีคุณสมบัติสำคัญสองประการคือ ความสามารถในการหลอมรวมกลุ่มชนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน และความสามารถในการขยายอาณาเขตได้ไม่จำกัด แม้ว่าจักรวรรดิมักถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่นำมาซึ่งการกดขี่และการล่าอาณานิคม แต่แฮรารีชี้ให้เห็นว่าจักรวรรดิได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรม ระบบการปกครอง และความรู้ที่เป็นรากฐานของโลกสมัยใหม่ไว้มากมาย

7. ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างเสถียรภาพให้สังคม

แฮรารีอธิบายว่าศาสนาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์หลอมรวมเป็นกลุ่มใหญ่ได้ ศาสนาช่วยสร้างเสถียรภาพให้สังคมผ่านความเชื่อว่ากฎเกณฑ์ทางสังคมถูกกำหนดโดยสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือกฎธรรมชาติ หนังสือได้แบ่งศาสนาเป็นประเภทต่างๆ ตั้งแต่ศาสนาแบบบูชาเทพเจ้าหลายองค์ (polytheism) ศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (monotheism) และศาสนาที่ไม่ยึดเทพเจ้าเป็นศูนย์กลาง รวมถึงระบบความเชื่อสมัยใหม่อย่างทุนนิยม เสรีนิยม และสังคมนิยม ที่แฮรารีมองว่าเป็นศาสนารูปแบบใหม่ที่มีอิทธิพลต่อโลกปัจจุบัน

8. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่เริ่มต้นเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน ได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างสิ้นเชิง แฮรารีชี้ให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ตั้งอยู่บนแนวคิดของ “การยอมรับความไม่รู้” โดยมนุษย์ยอมรับว่าตนไม่รู้ทุกอย่างและพยายามค้นหาคำตอบผ่านการทดลองและการสังเกต ทัศนคติทางวิทยาศาสตร์นี้ได้นำไปสู่การค้นพบและนวัตกรรมมากมาย ทำให้ขีดความสามารถในการผลิตของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ผนวกกับระบบทุนนิยมที่สนับสนุนการลงทุนเพื่ออนาคต ได้นำมนุษยชาติเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน

9. การเติบโตของมนุษยชาติทำลายระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตอื่น

แฮรารีชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านลบของการเติบโตของมนุษยชาติ โดยเฉพาะต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตอื่น เขาอธิบายว่าเมื่อมนุษย์เซเปียนส์เดินทางไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ใหม่ สัตว์ขนาดใหญ่ในพื้นที่นั้นมักจะสูญพันธุ์ในเวลาไม่นาน เช่น การสูญพันธุ์ของสัตว์เมกะฟอนาในออสเตรเลียและทวีปอเมริกา ในปัจจุบัน มนุษย์และปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้มีน้ำหนักรวมกันมากกว่าสัตว์ป่าทั้งหมดบนโลก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันมหาศาลของมนุษย์ต่อระบบนิเวศโลก

10. ความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นตามความเจริญก้าวหน้า

แม้ว่ามนุษย์จะมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัตถุอย่างมาก แต่แฮรารีตั้งคำถามว่า มนุษย์มีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่ งานวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงด้านฐานะการเงินและสุขภาพส่งผลต่อความสุขเพียงระยะสั้น ในขณะที่ปัจจัยสำคัญต่อความสุขระยะยาวคือความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งในสังคมสมัยใหม่ มนุษย์กลับห่างเหินจากครอบครัวและชุมชนมากขึ้น ความสุขของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังกับสิ่งที่ได้รับในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของศาสนาพุทธที่ว่ามนุษย์จะพบความสุขเมื่อสามารถละทิ้งตัณหาได้

11. เทคโนโลยีในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงนิยามของความเป็นมนุษย์

ในตอนท้ายของหนังสือ แฮรารีกล่าวถึงอนาคตของมนุษยชาติที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งมนุษย์จะเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ถูกสร้าง” เป็น “ผู้สร้าง” ผ่านเทคโนโลยีสำคัญ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) วิศวกรรมชีวภาพ ที่สามารถปรับเปลี่ยนพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์เอง 2) วิศวกรรมไซบอร์ก ที่ผสมผสานมนุษย์กับเครื่องจักร และ 3) วิศวกรรมอินทรีย์ ที่สร้างสิ่งมีชีวิตไม่อินทรีย์หรือปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ ที่อาจทำให้เกิดสปีชีส์ใหม่ที่แตกต่างจากเซเปียนส์ในปัจจุบัน

12. มนุษย์มีอำนาจมหาศาลแต่ขาดความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการ

แฮรารีสรุปว่า จากสิ่งมีชีวิตธรรมดาไร้ความสำคัญเมื่อ 70,000 ปีก่อน มนุษย์เซเปียนส์ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นเสมือน “พระเจ้า” ที่มีอำนาจมหาศาลในการสร้างและทำลาย แต่กลับไม่รู้ว่าควรใช้อำนาจนั้นอย่างไร มนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมและสปีชีส์อื่นเพื่อแลกกับความสะดวกสบายระยะสั้น โดยไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร แฮรารีตั้งคำถามว่า มีอะไรอันตรายกว่า “พระเจ้า” ที่มีพลังมหาศาลแต่ขาดความรับผิดชอบและไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรหรือไม่

13. การร่วมมือเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของมนุษย์

หนึ่งในแนวคิดหลักของหนังสือคือมนุษย์ประสบความสำเร็จเพราะความสามารถในการร่วมมือกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างยืดหยุ่น ในระดับปัจเจกบุคคล มนุษย์อาจไม่ได้มีความสามารถเหนือกว่าสัตว์อื่นมากนัก แต่เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและสิ่งมหัศจรรย์ได้มากมาย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติล้วนเกิดจากการร่วมมือกันในระดับมวลชน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพีระมิด การบินไปดวงจันทร์ หรือการสร้างอารยธรรมขนาดใหญ่

14. จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นพลังขับเคลื่อนมนุษยชาติ

แฮรารีเน้นย้ำว่า จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นพลังสำคัญที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้า มนุษย์สามารถสร้างและเชื่อในสิ่งสมมติที่ไม่มีอยู่จริงทางกายภาพ และความเชื่อร่วมกันนี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของนวัตกรรม ศิลปะ วัฒนธรรม และอารยธรรม จินตนาการช่วยให้มนุษย์สามารถวิวัฒนาการทางความคิดได้โดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม นำไปสู่การก้าวกระโดดของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่พันปีที่ผ่านมา

15. ประวัติศาสตร์เป็นระบบที่ซับซ้อนไม่อาจทำนายได้

แฮรารีเสนอว่าโลกมนุษย์คือระบบที่มีความซับซ้อนสูงมากจนไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ ในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยทางเลือกมากมาย การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้เกิดโลกที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แฮรารีเชื่อว่าสิ่งเดียวที่แน่นอนคือ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์โดยฝีมือมนุษย์ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ถูกกำหนดโดยพลังเหนือธรรมชาติ และทุกเหตุการณ์นั้น “สามารถหลีกเลี่ยงได้” ความเข้าใจนี้ให้ความหวังว่ามนุษย์มีอำนาจในการกำหนดอนาคตของตนเองได้

สรุป

“SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ” ของยูวัล โนอาห์ แฮรารี เป็นหนังสือที่นำเสนอประวัติศาสตร์มนุษยชาติในมุมมองที่กว้างและน่าสนใจ ผ่านการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายและชวนคิด หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแค่ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ แต่ยังตั้งคำถามเชิงปรัชญาที่ท้าทายมุมมองดั้งเดิมของผู้อ่าน

แฮรารีแสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จของมนุษย์เซเปียนส์มาจากความสามารถพิเศษในการสร้างและเชื่อในเรื่องเล่าร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่การรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่และการครองโลกของเผ่าพันธุ์เรา การปฏิวัติครั้งสำคัญทั้งสามครั้ง—การปฏิวัติการรับรู้ การปฏิวัติเกษตรกรรม และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์—ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างมหาศาล บางครั้งในทางที่ดีขึ้น แต่หลายครั้งก็มาพร้อมกับผลกระทบด้านลบ

หนังสือเล่มนี้ยังชวนให้เราตั้งคำถามถึงอนาคตของมนุษยชาติ เมื่อเทคโนโลยีชีวภาพและปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนแปลงนิยามของการเป็นมนุษย์ และเราอาจกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหม่ที่อาจสร้างสปีชีส์ที่เหนือกว่าเซเปียนส์ในปัจจุบัน

“SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ” เป็นมากกว่าหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมดา แต่เป็นงานที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองในฐานะสปีชีส์มนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผ่านมุมมองที่ทั้งกว้างและลึก ด้วยภาษาที่เข้าถึงง่ายและความคิดที่กระตุ้นให้เกิดการพิจารณา หนังสือเล่มนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้รับการยกย่องจากทั่วโลก รวมทั้งได้รับคำชมจากบุคคลสำคัญอย่างบารัก โอบามาและบิล เกตส์

โดยสรุป “SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ” เป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่าน ไม่ว่าคุณจะสนใจประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ หรือปรัชญา หนังสือเล่มนี้นำเสนอมุมมองที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นมา ปัจจุบัน และอนาคตที่เป็นไปได้ของมนุษยชาติได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และอาจทำให้เราตั้งคำถามกับความเชื่อและค่านิยมที่เรามักทึกทักว่าเป็นความจริงตายตัว ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นจากเรื่องเล่าในจินตนาการของมนุษย์เอง