สรุปหนังสือ เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ

เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ
เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ

Table of Contents

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ

ชื่อผู้แต่ง : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น

ปีที่พิมพ์ : 2562

จำนวนหน้า : 189 หน้า

หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน

สารบัญ

  • 40 VS 51
  • 51 VS 19
  • Moment of Truth
  • ซื้อหุ้นยามวิกฤติ
  • บทเรียนจากวิกฤติ
  • วิกฤติหรือโอกาส
  • แล้วมันก็จะผ่านไป
  • อุตสาหกรรมยามวิกฤติ
  • เมื่อตลาดหุ้นเหงา
  • Perfect Strom – Perfect Stock
  • Cash is King
  • หมี
  • หุ้นถูกเรื้อรัง
  • DCA
  • PSR
  • Sun Rise – Sun Set
  • คุณดาว
  • ลอร์ดเคน
  • Mr. Growth Stock
  • ใครๆก็อยากเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์
  • Peak Oil ดอยน้ำมัน
  • Peak Energies ดอยพลังงาน
  • Super Investor
  • เก็บก้นบุหรี่
  • ของขึ้น
  • ของขึ้น 2
  • คุณภาพของกิจการ
  • จินตนาการกับการลงทุน
  • เจ้าของ VS นักลงทุน
  • ดวง
  • โหร ตลท.
  • ทอง ทอง ทอง
  • นักลงทุนขาโจ๋
  • บริษัทซื้อหุ้นคืน
  • ผลตอบแทน VS ความเสี่ยง
  • วิธีคำนวณผลตอบแทน
  • โภคภัณฑ์ร้อนๆ
  • ลูกค้า
  • หอเกียรติยศ
  • หุ้นแม่-ลูก
  • อย่าตื่นเต้น
  • อ้วน-ผอม-สูง
  • สบู่ทุกก้อน
  • เข็มทิศลงทุน
  • แสงที่ปลายอุโมงค์

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ” เป็นคู่มือการลงทุนที่รวบรวมแนวคิดและกลยุทธ์การรับมือกับความผันผวนในตลาดหุ้นยามเกิดวิกฤต ผู้เขียนซึ่งเป็นนักลงทุนมืออาชีพได้ถ่ายทอดประสบการณ์และบทเรียนผ่านมุมมองของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในตลาดมาโชกโชน เขาแบ่งปันเคล็ดลับ เทคนิค และข้อแนะนำในการปรับแผนการลงทุนให้เหมาะกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง ทั้งการเพิ่มโอกาสทำกำไร การจัดการความเสี่ยง และการใช้ประโยชน์จากความผันผวน หนังสือเล่มนี้จะชี้แนะแนวคิด มุมมอง และแนวทางที่ถูกต้องให้นักลงทุนทุกระดับได้เตรียมพร้อมรับมือและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างชาญฉลาด เป็นเพื่อนคู่คิดที่จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในทุกสถานการณ์ตลาด พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและความท้าทายเพื่อความสำเร็จในระยะยาว

1. วิกฤตเป็นเรื่องปกติ อย่าตื่นตระหนก

แม้วิกฤตจะคาดการณ์ได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นระยะในตลาดหุ้น นักลงทุนต้องทำใจยอมรับความผันผวนนี้ให้ได้ อย่าให้อารมณ์ความตื่นตระหนกมาครอบงำจนมองไม่เห็นโอกาสดีๆ ที่แฝงอยู่ในภาวะตลาดขาลง เพราะหุ้นพื้นฐานดีหลายตัวอาจถูกขายทิ้งจนราคาลดลงมากจนกลายเป็นโอกาสน่าสนใจในการเข้าลงทุนระยะยาว

2. เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตทุกเวลา

วิกฤตอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม เพราะมีปัจจัยมากมายทั้งในและนอกตลาดที่อาจกระตุ้นให้เกิดวิกฤตได้เสมอ ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คอยประเมินความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป และพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับทิศทางตลาดอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและฉวยโอกาสจากความผันผวนให้ได้มากที่สุด

3. อย่ามองแค่ราคา แต่ให้ดูคุณค่า

หุ้นที่เคยดูราคาถูกอยู่แล้ว เมื่อเกิดวิกฤตหนักๆ ก็อาจจะยิ่งปรับตัวลงไปได้อีกมาก เหมือนของถูกลดราคาซ้ำ แต่นักลงทุนไม่ควรตัดสินใจซื้อโดยดูราคาถูกเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงพื้นฐานที่แท้จริงของธุรกิจ ความแข็งแกร่งของผลประกอบการ และความสามารถในการสร้างกำไรในระยะยาว ถ้าหากบริษัทนั้นยังมีโมเดลธุรกิจที่ดี ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ การลงทุนเมื่อราคาตกมากๆ ก็จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

4. คำนึงถึงปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ

ในภาวะวิกฤตนั้น นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศก็มักส่งผลกระทบต่อตลาดในประเทศมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจและตลาดการเงินในระดับโลกด้วย อย่าโฟกัสแค่ในประเทศจนลืมมองภาพรวม และเมื่อประเมินความเสี่ยงได้ดีแล้ว ก็ต้องบริหารพอร์ตอย่างรอบคอบ ยึดหลักความปลอดภัยตามแนวคิดของเบนจามิน เกรแฮม และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่าเน้นไม่ให้ขาดทุนมากกว่าจะโฟกัสแต่กำไร

5. ซื้อหุ้นคุณภาพเมื่อราคาตก

การลงทุนในตลาดหมีนั้นจะเป็นโอกาสอันดีในการเข้าซื้อหุ้นดี หุ้นคุณภาพในราคาที่ลดลงมามาก ตามทฤษฎี Margin of Safety ของเบนจามิน เกรแฮม แต่นักลงทุนก็ต้องทำการบ้านและมั่นใจจริงๆ ว่าเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ ที่ซื้อนั้นต้องเป็นเพราะมูลค่าที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพราะหลงกับราคาที่ปรับลงมามาก อย่าด่วนไปคว้าของถูกโดยไม่ได้ชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและความเป็นไปได้ในอนาคตให้ดีพอ

6. วิเคราะห์ผลกระทบของข่าวร้ายในแต่ละระดับ

ข่าวร้ายที่กระทบตลาดนั้นมีตั้งแต่ระดับใหญ่ที่ฉุดตลาดโดยรวม ระดับกลางที่กระทบเฉพาะบางอุตสาหกรรม ไปจนถึงระดับเล็กที่มีผลเฉพาะต่อบางบริษัท นักลงทุนจึงต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าข่าวร้ายนั้น ส่งผลกระทบต่อหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตมากน้อยแค่ไหน เป็นผลกระทบชั่วคราวหรือระยะยาว เป็นความเสียหายที่ธุรกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ภายในเวลาอันสั้นหรือไม่ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากพอที่จะทำให้ต้องขายหุ้นตัวนั้นทิ้งไปเลยหรือยัง ถ้าเป็นผลกระทบเชิงลบที่ไม่รุนแรงหรือไม่ยาวนาน ไม่จำเป็นต้องขายทิ้งด้วยความตื่นตระหนก

7. หุ้นที่พร้อมรับมือวิกฤตคือหุ้นเงินสดสูง

บริษัทที่จะสามารถรับมือกับความผันผวนในภาวะวิกฤตได้ดี มักจะเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูง มีเงินสดหมุนเวียนในมือมาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้หายไปจนขาดทุนหนัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีความได้เปรียบที่จะสามารถใช้เงินสดก้อนโตนี้ไปช้อปสินทรัพย์ในราคาถูกในช่วงวิกฤตได้อีกด้วย หรือถ้าไม่ลงทุนเพิ่ม ก็ยังพอมีกำไรเหลือมากพอที่จะประคองการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องตัดปันผลหายไปเลยแม้ในปีที่บริษัทมีผลประกอบการไม่ดี

8. ทยอยซื้อหุ้นดีช่วงตลาดหมี

ถ้าตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเกิน 20% จากยอดสูงสุด นักลงทุนมักเรียกว่าเป็นช่วงตลาดหมี ซึ่งมองในแง่ดีก็คือเป็นจังหวะเวลาที่น่าจะเข้าไปสะสมหุ้นคุณภาพไว้ในพอร์ตระยะยาวนั่นเอง แต่กลยุทธ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่รีบเทเงินเข้าไปซื้อทีเดียวในครั้งเดียวจนหมดตัว เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตลาดจะตกไปอีกลึกแค่ไหน แต่ให้ทยอยซื้อเข้าไปที่ละนิดละหน่อยเป็นระยะๆ จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากจังหวะการเข้าซื้อ ให้สามารถได้ราคาเฉลี่ยที่ดีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อตอนที่ตลาดยังไม่ทันตกไปถึงก้น

9. หุ้นแถวสองก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

หุ้นบางกลุ่มที่ราคาไม่ค่อยขยับ ดูเหมือนจะเป็นหุ้นแถวสองที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก มักจะเป็นหุ้นในอุตสาหกรรมที่เติบโตช้า ตลาดอิ่มตัวแล้ว ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้นักลงทุนอยากเข้าไปลงทุนมากนัก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง หุ้นเหล่านี้ก็มีจุดแข็งที่ความเสี่ยงหรือความผันผวนของราคาหุ้นมักจะต่ำกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ผลประกอบการค่อนข้างทรงตัว และที่สำคัญคือมักจ่ายปันผลสม่ำเสมอในอัตราที่น่าพอใจ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดรายได้จากการลงทุนระยะยาว ไม่ได้เน้นกำไรจากการขายหุ้น

10. ลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน

หุ้นที่มี Durable Competitive Advantage (DCA)คือหุ้นบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ความได้เปรียบที่ว่านี้อาจจะมาจากการมีแบรนด์ที่แข็งแรง ความภักดีในตัวสินค้าของลูกค้าสูง มีเครือข่ายฐานลูกค้าที่กว้างขวาง สามารถผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง หรือการที่ลูกค้าต้องเสียต้นทุนที่สูงหากจะเปลี่ยนไปใช้สินค้าของคู่แข่งแทน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างกำไรได้อย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน

11. ระวังราคาหุ้นที่ขึ้นเกินมูลค่าที่แท้จริง

เมื่อใดที่เห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงจนค่า P/E หรือ P/BV สูงผิดปกติ มองเผินๆ เหมือนกำไรงาม แต่ต้องคิดใหม่ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายว่ากำลังเกิดภาวะฟองสบู่ที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ เมื่อราคาพุ่งขึ้นเร็วเกินไปจนไม่สอดคล้องกับผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐาน ยิ่งราคายิ่งสูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรรีบขายทำกำไรและถอยออกมาอย่างเงียบๆ อย่าโลภไปหวังกำไรเกินควรจนเสี่ยงกลายเป็นคนที่ติดดอยเอาไว้

12. อย่าเชื่อข่าวลือหรือคำแนะนำลงทุนที่เว่อร์เกินจริง

ในตลาดมักจะมีข่าวลือหรือคำแนะนำให้ซื้อขายหุ้นต่างๆ นานา ที่ดูเหมือนจะดีเกินจริงเสมอ นักลงทุนมือใหม่อาจเชื่อง่าย คล้อยตามไปโดยไม่ทันตั้งคำถาม แต่มืออาชีพจะไม่หลงกลโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น เขาจะยึดการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านตามหลักการลงทุนที่ถูกต้องเป็นสำคัญ คิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลและสติปัญญาของตัวเอง ตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ไปตามกระแสข่าวที่อาจจะมีการปั่นกระแสโดยกลุ่มผลประโยชน์ก็เป็นได้

13. อย่าโลภ จงระวังตัวตามหลักบัฟเฟตต์

นักลงทุนต้องคอยกำกับตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าให้ความโลภเข้ามาครอบงำการตัดสินใจ ความปลอดภัยต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อใดที่เริ่มรู้สึกตื่นเต้นหรือมั่นใจเกินควรกับผลตอบแทนที่จะได้รับ ให้รีบดึงสติ กลับมาทบทวนถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดผลเสียให้รอบคอบอีกครั้ง อย่าพึงลืมพิจารณาปัจจัยเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นให้ครบถ้วน โดยยึดหลักคำสอนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ข้อแรกคือ “อย่าขาดทุน” และข้อสองคือ “อย่าลืมกฎข้อแรก”

14. ติดตามความเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ

แม้เราจะถือหุ้นพื้นฐานดีเพื่อการลงทุนระยะยาว ก็ยังจำเป็นต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ เพราะในภาวะวิกฤตนั้น อาจมีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อทั้งอุตสาหกรรมและการดำเนินธุรกิจของบริษัท การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระยะยาวต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งย่อมกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไรของธุรกิจในอนาคตได้ นักลงทุนจึงต้องประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องตามความเหมาะสม

15. ศึกษา เข้าใจ แล้วจึงตัดสินใจ

ในการตัดสินใจลงทุน ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และรอบด้าน ทั้งจากงบการเงิน ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ ตลอดจนแนวโน้มของอุตสาหกรรม รวมทั้งต้องคอยติดตามพัฒนาการทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค แม้ในภาวะตลาดปกติ การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบก็เป็นสิ่งสำคัญ ในภาวะวิกฤตที่ความผันผวนมีสูง ก็ยิ่งต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน เพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เข้าใจไม่ทัน ก็อาจพลาดทั้งการป้องกันความเสี่ยงและการฉวยโอกาส จงใช้ข้อมูลที่ได้ศึกษามาอย่างถ่องแท้ ประกอบกับวิจารณญาณที่ดี ในการกำหนดจังหวะการเข้าและออกจากการลงทุนให้เหมาะสมที่สุด

สรุป

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดและมุมมองที่เป็นประโยชน์มากมายแก่นักลงทุน ทั้งในแง่การปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับวัฏจักรของตลาด การเลือกหุ้นคุณภาพ การบริหารความเสี่ยง ไปจนถึงการควบคุมอารมณ์ในการลงทุน หัวใจสำคัญคือต้องเข้าใจบริษัทและอุตสาหกรรมที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง ประเมินมูลค่าด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และยืดหยุ่นปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง โดยยึดความปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเป้าหมายหลัก ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะพร้อมฝ่าฟันวิกฤตในตลาดได้อย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน