สรุปหนังสือ ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท

ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท

ชื่อผู้แต่ง : เซียว จับอิดนึ้ง

สำนักพิมพ์ : เซียว จับอิดนึ้ง

ปีที่พิมพ์ : 2562

จำนวนหน้า : 233 หน้า

หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน

สารบัญ

  • ผมทำเงินจาก 2 ล้าน เป็น 2 แสน ได้ยังไง?
  • บทที่ 1 ยอมรับ
  • บทที่ 2 เหยื่อ
  • บทที่ 3 ความจริงที่เม่าไม่เคยรู้มาก่อน
  • บทที่ 4 ความเชื่อผิดๆ
  • บทที่ 5 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
  • บทที่ 6 หน้าที่ของนักเทรด
  • บทที่ 7 ความโหดของตลาด
  • บทที่ 8 ความน่ารักของตลาด
  • บทที่ 9 ดัดสันดานตัวเอง
  • บทที่ 10 การรอคอย
  • บทที่ 11 เข้าใจความเสี่ยง
  • บทที่ 12 นักเทรดเทิร์นอะราวด์

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท” เป็นหนังสือที่นำเสนอมุมมองและประสบการณ์ตรงของผู้เขียนในฐานะนักเล่นหุ้นมือใหม่ที่ผ่านการขาดทุนในตลาดหุ้นมาอย่างหนัก ผู้เขียนได้สะท้อนถึงข้อผิดพลาดและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของตนเอง เพื่อเตือนสติและให้คำแนะนำนักลงทุนมือใหม่ไม่ให้เดินซ้ำรอยเดียวกับตน หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้น รวมถึงนักลงทุนที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนในตลาดหุ้น จะได้นำข้อคิดต่างๆ ไปปรับใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์ของตนเอง

1. ซื้อดัก เจ็บหนักทุกที

การดักซื้อหุ้นเมื่อราคาตกไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงและความอดทนสูง มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นการซื้อหุ้นที่ไม่มีคุณภาพ แล้วนั่งทนกับความขาดทุนโดยใช่เหตุ ผู้เขียนเคยถูกความโลภครอบงำ มองว่าเมื่อราคาหุ้นตก ก็คือโอกาสในการซื้อ แต่กลับพบว่าตนเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะหุ้นเหล่านั้นตกเนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ มากมาย และเมื่อราคาตกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ขาดทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นความเจ็บปวดทางใจอย่างแสนสาหัส

2. ตลาดหุ้นไม่ใช่โรงทาน แต่คือสงคราม

อย่าคาดหวังว่าจะมีใครมาช่วยพยุงหุ้นที่เรากำลังขาดทุน เพราะในตลาดหุ้นทุกคนต่างก็เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง ถ้าหุ้นเรามีปัญหา ต้องรีบหาทางออกให้ไว ไม่ใช่นั่งรอคอยจนสายเกินไป ผู้เขียนเคยหลงผิดคิดว่าตลาดหุ้นเป็นเหมือนสังคมเอื้ออาทร เมื่อเกิดปัญหาก็จะมีใครสักคนมาช่วยเรา แต่ความจริงคือ ไม่เคยมีใครมาช่วยจริงๆ ทุกคนในตลาดต่างมองแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้นหุ้นที่เราถือหากมีปัญหา เราต้องรีบหาทางออกด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ต้องแบกรับความขาดทุนไปอีกนาน

3. หุ้นปั่นหากกำไรก็สนุก แต่ขาดทุนก็ทุกข์หนัก

การเก็งกำไรหุ้นที่ถูกปั่นราคานั้น เหมือนการเดิมพัน หากชนะได้เงินเร็ว แต่ถ้าแพ้ก็เจ็บหนักไม่ต่างจากการพนัน ควรเลือกลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวจะดีกว่า เมื่อเห็นคนรอบข้างทำกำไรจากหุ้นปั่นได้รวดเร็ว ผู้เขียนก็อดใจไม่ไหวอยากจะเข้าไปลองบ้าง ซึ่งครั้งแรกก็ได้กำไรจริง ทำให้ดีใจ แต่พอลงทุนเพิ่ม กลับถูกเจ้ามือปล่อยของ ขาดทุนอย่างหนัก ได้เงินมาง่ายๆ ก็ขาดทุนไปง่ายๆ เช่นกัน

4. เม่ากลัวตกรถ มากกว่า ขาดทุน

อย่าใช้มุมมองแบบคนนั่งรถเมล์ในการมองหาหุ้นลงทุน ต้องทำการบ้านอย่างรอบคอบ ไม่ควรใช้อารมณ์ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเจอความขาดทุนตามมา ในช่วงที่ตลาดขาขึ้น มีหุ้นมากมายที่ราคาพุ่งขึ้นแรง เหมือนรถเมล์ที่พาเราโลดแล่นไปในความฝัน ใครไม่ลงทุนก็รู้สึกว่าตัวเองตกขบวน กลัวพลาดโอกาส ผู้เขียนก็เผลอใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล รีบซื้อหุ้นตามกระแส แต่ไม่รู้เลยว่าจังหวะที่ควรซื้อนั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว

5. หุ้นที่ขาดทุนคือความล้มเหลว

การไม่ยอมรับความจริงว่าหุ้นที่เราถือกำลังมีปัญหา ทำให้เราไม่กล้าขาย กลับไปแก้ไข จนสุดท้ายขาดทุนหนักกว่าเดิม ควรมีวินัยรู้จักจำกัดขาดทุน ทุกครั้งที่หุ้นที่ถือขาดทุน ผู้เขียนจะรู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองล้มเหลว เลยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะขาย ด้วยความหวังว่ามันจะดีขึ้น ทำให้สุดท้ายต้องขาดทุนมากกว่าเดิมหลายเท่า แท้จริงแล้วการขาดทุนเป็นเรื่องปกติของการลงทุน ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว แต่คือบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้ เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น

6. ข่าวหุ้นต้องรู้ลึก ไม่ใช่รู้แค่ผิวเผิน

ถ้าอยากได้กำไรจากหุ้นที่มีข่าว ต้องมีข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่แค่ตามกระแส เพราะเมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่ว นั่นอาจเป็นจุดที่ควรขายทำกำไรแล้ว ช่วงแรกผู้เขียนมักตื่นเต้นกับหุ้นที่มีข่าวดี คิดว่าถ้าซื้อตามก็จะได้กำไร แต่ปรากฏว่ากลับขาดทุน เพราะตอนที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป คนวงในเค้าขายทำกำไรไปหมดแล้ว คนที่เข้ามาทีหลังมักจะเป็นฝ่ายแบกหุ้นแทน

7. ถือยาวแล้วจะรวย ไม่เสมอไป

การลงทุนระยะยาวไม่ได้การันตีว่าจะได้กำไรเสมอไป ต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี บริหารความเสี่ยง และรู้จักถือจังหวะขายบ้างเป็นระยะๆ ผู้เขียนเคยมีความเชื่อแบบผิดๆ ว่าแค่ถือหุ้นระยะยาว ไม่ว่าจะหุ้นอะไรก็ตาม ราคาก็ต้องขึ้นแน่นอน แต่ความจริงกลับพบว่ามีหุ้นหลายตัวที่ราคาไม่ขึ้นเลย บางทีถือนานมากกว่า 5-10 ปี แต่ราคาดันลดลงไปอีก แม้แต่หุ้นบริษัทใหญ่ที่ดูมีความมั่นคง อนาคตก็ไม่แน่นอน ต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ หากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยง ก็ต้องพิจารณาขายออกบ้างเป็นระยะ

8. ความเสี่ยงคือสิ่งที่ต้องบริหารจัดการ

การลงทุนหุ้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง เราต้องรู้จักประเมินและบริหารความเสี่ยงให้ดี ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เรารับความเสี่ยงไม่ไหว ช่วงแรกผู้เขียนลงทุนแบบไม่สนใจความเสี่ยงเลย ใช้เงินเกือบทั้งหมดที่มีซื้อหุ้น โดยคิดว่ายิ่งซื้อมาก กำไรก็ยิ่งมาก โดยไม่คิดเลยว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด จะเหลือเงินใช้หรือไม่ ความเสี่ยงมีได้หลายแบบ ทั้งความเสี่ยงของตัวบริษัท ความเสี่ยงจากภาวะอุตสาหกรรม ไปจนถึงความเสี่ยงระดับประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ส่งผลต่อการลงทุนของเราได้

9. ไม่มีระบบ ขาดวินัย พังพินาท

การลงทุนที่ดีต้องมีระบบแบบแผนและวินัยในการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นการลงทุนก็จะเป็นไปตามอารมณ์ และมักจบลงด้วยการขาดทุน ผู้เขียนสารภาพว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีระบบการลงทุนเลย ส่วนใหญ่ลงทุนไปตามความรู้สึก ข่าวไหนดังก็ซื้อตามนั้น ไม่เคยวางแผนจริงจัง ไม่มีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม และไม่มีวินัยในการซื้อขายอย่างเคร่งครัด การขาดระบบและวินัย ทำให้ผู้เขียนมักถือหุ้นนานเกินไป ทั้งที่ราคาพุ่งจนสูงเกินมูลค่า ก็ยังไม่ขาย กลับไปกลับมาเมื่อราคาร่วง กลับไม่กล้าขายตัดขาดทุน กลายเป็นว่าไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง ก็สวนทางกับพฤติกรรมตนเองอยู่ร่ำไป

10. ต้องหมั่นพัฒนาตนเอง อย่าหยุดเรียนรู้

โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากเรายึดติดกับแนวคิดเดิมๆ ไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ยากจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ผู้เขียนเล่าว่า เขามีความรู้พื้นฐานด้านหุ้นและการลงทุนค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เรียนรู้ด้วยตัวเอง ด้วยการลองผิดลองถูก เลยต้องเสียค่าเล่าเรียนเป็นค่าขาดทุนไปมหาศาล แต่ด้วยความที่ชอบเรียนรู้ จึงหมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งจากการอ่านหนังสือ บทความ งานวิจัย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักลงทุนคนอื่นๆ นานวันเข้าก็ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

11. อย่ากลัวพลาด แต่ให้กลัวไม่เริ่ม

คนที่กลัวความผิดพลาด ไม่กล้าลงมือ ก็ไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ความผิดพลาดคือบทเรียน แต่การไม่เริ่มทำต่างหากที่น่ากลัว ผู้เขียนบอกว่า ในช่วงแรกๆ เขากลัวการขาดทุนมาก พอเห็นพอร์ตติดลบ ก็รู้สึกไม่มั่นใจ บางครั้งขาดทุนเพียงเล็กน้อย ก็อยากเลิกเล่นไปเลย กลัวผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เขาเริ่มตระหนักว่า ความกลัวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น กลับยิ่งลงทุนน้อยลง เงินทุนก็ไม่ได้งอกเงย การเรียนรู้ก็หยุดชะงัก ไม่เกิดการพัฒนา ความกลัวไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นศัตรูต่างหาก

12. เทรดต้องรู้จักหักห้ามใจ

การทำกำไรในตลาดหุ้นต้องอาศัยวินัยอย่างสูง ต้องรู้จักหักห้ามใจ ไม่โลภ ไม่ตามใจตัวเอง แต่ต้องทำตามแผนอย่างเคร่งครัด
ผู้เขียนยอมรับว่า เขาเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักจะใจร้อน อยากรวยเร็ว พอเห็นหุ้นไหนขึ้นเยอะ ก็รีบไปซื้อตาม พอราคาตก ก็ตกใจ รีบขายออก ทำให้ขาดทุนไปเยอะ เพราะไม่ได้ซื้อขายตามแผนที่วางไว้ วิธีที่ผู้เขียนใช้จัดการกับความใจร้อนคือ การตั้งกฎเกณฑ์ในการซื้อขายที่ชัดเจน และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ต้องวางแผนก่อนล่วงหน้า เช่น จะซื้อหุ้นอะไร ที่ราคาเท่าไหร่ ปริมาณเท่าไหร่ เมื่อไรจะขาย แล้วก็ทำตามนั้นอย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

13. อย่ายึดติดกับ “กำไร”

เมื่อหุ้นทำกำไร บางคนก็ไม่ยอมขาย รอให้ได้กำไรมากกว่านี้ แต่นั่นเป็นความโลภที่อาจสร้างความเสียหายได้ เพราะราคาหุ้นเปลี่ยนทิศทางได้ทุกเมื่อ
เวลาหุ้นมีกำไร ผู้เขียนมักจะเผลอคิดว่าทำไมต้องขายเร็วจัง รอขายตอนราคาขึ้นไปอีกหน่อยไม่ได้เหรอ เพราะอยากได้กำไรเยอะๆ แต่สุดท้ายหุ้นกลับพลิกมาร่วง ทำให้ได้กำไรน้อยลง หรือบางทีกลายเป็นขาดทุนไปเลยก็มี ต่อมาเขาจึงปรับความคิด ว่าการได้กำไรแม้จะไม่มากนัก ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว ไม่ควรไปคาดหวังอะไรมากไปกว่านั้น เพราะตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนเสมอ ถ้าไม่ขายตอนมีกำไร พอราคาเปลี่ยนทิศทาง ความเสี่ยงที่จะขาดทุนจะสูงขึ้นทันที

14. ต้องมีมุมมองระยะยาว อย่าใจร้อน

การลงทุนที่ดีต้องมีมุมมองในระยะยาว อย่าใจร้อนคิดจะทำเงินเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความประมาทได้ ผู้เขียนชอบยกตัวอย่างเรื่องของ Warren Buffett นักลงทุนในตำนาน ซึ่งมีปรัชญาการลงทุนที่เน้นระยะยาว เลือกหุ้นที่ดี ราคาสมเหตุสมผล แล้วถือยาวๆ ไปเลย โดยไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น ผลที่ได้คือผลตอบแทนอันงดงามในระยะยาว แต่คนส่วนใหญ่รวมทั้งผู้เขียนเอง มักขาดความอดทน อยากได้ผลตอบแทนที่สูงและได้เร็ว กลัวตกขบวนคนอื่น เลยมักจะซื้อหุ้นราคาแพง ไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน แล้วก็มักจะโดนหุ้นไม่ดีเล่นงานเสมอ

15. รู้จักตัวเอง รู้จักตลาด

ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการลงทุนหุ้น เราต้องเข้าใจตัวเราเอง รู้จุดแข็งจุดอ่อน และปรับวิธีการลงทุนให้เข้ากับบุคลิกของตนและข้อเท็จจริงในตลาด ผู้เขียนลองผิดลองถูกมานานกว่าจะพบว่า ตัวเองเหมาะกับการลงทุนแบบไหนที่สุด เขาเป็นคนมีความอดทนสูง ชอบวิเคราะห์ข้อมูลลึกๆ แต่ไม่ถนัดเทรดระยะสั้น ดังนั้นเขาจึงเลือกสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า มองหาหุ้นดีราคาถูกแล้วถือยาวๆ ซึ่งเข้ากับบุคลิกเขาที่สุด นอกจากรู้จักตัวเองแล้ว ก็ต้องรู้จักตลาดด้วย ต้องศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาพรวม เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับโอกาสและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

สรุป

หนังสือเล่มนี้สอนให้เห็นว่า การประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นนั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยความรู้ความสามารถหลายด้าน ทั้งในแง่การวิเคราะห์ การบริหารความเสี่ยง การควบคุมอารมณ์และวินัยในการลงทุน หากเราไม่ศึกษาเรียนรู้ให้เพียงพอ หรือปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกมาครอบงำ ก็ยากที่จะชนะตลาดได้ในระยะยาว การขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่าจะสั่นคลอนกำลังใจ ทำให้ไม่กล้าลงทุนอีกต่อไป หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดของนักลงทุนมือใหม่ได้อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน เข้าใจง่าย เป็นประสบการณ์ตรงจากผู้เขียนเองที่เคยเจ็บปวดมาก่อน เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ช่วยลดอคติต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นกับนักลงทุน ข้อคิดทั้ง 15 ประการนี้ จะช่วยปรับมุมมองใหม่ ให้เรากลับมามองเห็นความจริงและปรับตัวสู่การลงทุนอย่างมีเหตุผลและความรอบคอบมากขึ้น เริ่มต้นจากการเรียนรู้และเข้าใจตัวเองก่อน แล้วจึงขยับไปสู่การทำความเข้าใจตลาด ปรับกลยุทธ์และวิธีคิดให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ไม่หลงติดกับดักทางความคิดของตัวเอง