สรุปหนังสือ ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger: The Complete Investor)

ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger : The Complete Investor)
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger : The Complete Investor)

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger: The Complete Investor)

ชื่อผู้แต่ง : Tren Griffin

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น (WELEARN)

ปีที่พิมพ์ : 2564

จำนวนหน้า : 241 หน้า

หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน

สารบัญ

  • 1 พื้นฐานของแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเกรแฮม
  • 2 หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเกรแฮม
  • 3 ภูมิปัญญาอันหลากหลายจากทั้งโลก
  • 4 จิตวิทยาแห่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดของมนุษย์
  • 5 สิ่งที่ถูกที่ควร
  • 6 ตัวแปรต่าง ๆ ในวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเกรแฮม
  • 7 สิ่งที่ถูกที่ควรสำหรับธุรกิจ
  • การคิดคำนวณแบบเบิร์กเขียร์
  • คูเมือง
  • การลงทุนแบบเน้นคุณค่ากับการลงทุนแบบเน้นปัจจัย

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือเล่มนี้มุ่งเสนอความคิดและมุมมองด้านการลงทุนของ ชาร์ลี มังเกอร์ ผู้เป็นมือขวาคู่บุญของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในตำนาน มังเกอร์เป็นบุคคลที่มีบุคลิกเฉียบคม ตรงไปตรงมา และพูดในสิ่งที่คิดโดยไม่เกรงใจใคร แม้บางครั้งอาจจะดูโผงผาง แต่ทว่ามุมมองและความคิดเห็นของเขาก็มักจะเฉียบคมและเข้าเป้าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการลงทุน ซึ่งเขาถือเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

1. เป็นนักลงทุนที่มีวินัยและมีความพร้อมในการเรียนรู้

มังเกอร์เชื่อว่าการจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีวินัยและมีความพร้อมในการเรียนรู้อยู่เสมอ เขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ และตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ การมีวินัยนั้นหมายถึงการยึดมั่นในหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ และรู้จักจังหวะเวลาในการลงทุน ส่วนการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่งนั้น จะช่วยให้เรามีความรู้ที่กว้างขวาง เข้าใจโลกมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การวิเคราะห์การลงทุนแม่นยำยิ่งขึ้น นี่คือพื้นฐานสำคัญในการเป็นนักลงทุนที่ดี ที่ใครๆก็สามารถทำได้ ขอเพียงมุ่งมั่นและอดทนพอ

2. มีความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา

สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของมังเกอร์คือความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เขาศึกษาอย่างลึกซึ้งในหลายๆด้าน ตั้งแต่วิศวกรรม กฎหมาย จิตวิทยา ไปจนถึงปรัชญา เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถมองเห็นแง่มุมที่แตกต่าง มีมุมมองที่กว้างขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักลงทุน การมีความรู้รอบด้าน จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเชื่อมโยงข้อมูลและเข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น อย่างเช่น ความรู้ด้านจิตวิทยา อาจจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนคนอื่นๆในตลาด หรือความรู้ด้านวิศวกรรม อาจช่วยให้เข้าใจศักยภาพทางเทคนิคของบริษัทที่จะลงทุนได้ดีขึ้น จึงไม่แปลกที่มังเกอร์จะแนะนำให้นักลงทุนขวนขวายหาความรู้ในทุกด้านที่สนใจ เพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุนที่แตกต่าง

3. มีความอดทนและระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน

มังเกอร์ไม่ใช่นักลงทุนที่มองแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น แต่เป็นนักลงทุนที่มีความอดทน มองการลงทุนเป็นการสร้างมูลค่าในระยะยาว เขายึดมั่นในหลักการลงทุนแบบ “ถือหุ้นดีและถืออย่างมีความสุข” ไม่ใช่การเทรดหุ้นอย่างขาดสติ การมีมุมมองระยะยาว จะช่วยให้นักลงทุนไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนระยะสั้น แต่มองไปถึงศักยภาพในระยะยาวของบริษัทแทน บางครั้งต้องอาศัยความอดทนในการถือหุ้นต่อไป แม้ในบางช่วงอาจจะติดลบ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ดี ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาได้และให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว นักลงทุนที่อดทนและมีวิสัยทัศน์ยาวไกล มักจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

4. ตัดสินใจด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์

มังเกอร์เป็นคนที่ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล โดยตัดอารมณ์และอคติต่างๆออกไป เขาเชื่อว่าการจะลงทุนได้ดี จะต้องมีความรู้สึกที่เป็นกลาง โดยพิจารณาข้อมูลต่างๆอย่างรอบด้าน มองทั้งด้านบวกและด้านลบ แล้วจึงนำมาวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล การตัดสินใจด้วยอารมณ์ มักจะนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุน เช่น การตื่นตูมซื้อหุ้นเพราะกลัวตกขบวน หรือขายหุ้นทิ้งเพราะความตื่นตระหนก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักจะนำไปสู่การขาดทุน ดังนั้นนักลงทุนที่ฉลาดต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ใช้ข้อมูลพูดแทนความรู้สึก และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเสมอ

5. เน้นลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจอย่างถ่องแท้

หนึ่งในคำพูดที่มังเกอร์ยึดมั่นเสมอมาคือ “อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ” เพราะการลงทุนที่ดีนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เราลงทุน ต้องรู้ในแบบที่ว่าถ้าธุรกิจนั้นประสบปัญหา เราจะสามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดจากอะไร ไม่ใช่แค่ลอยๆ
การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หมายถึงการศึกษาทุกแง่มุมของธุรกิจ ตั้งแต่โมเดลธุรกิจ สถานะการเงิน ความเสี่ยง ตลาด คู่แข่ง ไปจนถึงผู้บริหาร เป็นต้น เมื่อเรามีข้อมูลรอบด้าน ก็จะทำให้ตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น การลงทุนในธุรกิจที่ไม่เข้าใจ เปรียบเสมือนการออกเดินทางในความมืด แม้อาจจะไปถึงจุดหมายได้บ้าง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเดินหลงทาง

6. เน้นการคิดอย่างเป็นระบบ

การคิดอย่างเป็นระบบเป็นทักษะที่มังเกอร์ให้ความสำคัญมาก เขาดูจากความสัมพันธ์เชื่อมโยงของข้อมูลต่างๆ ความเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่การคิดแบบลอยๆหรือดูแค่ภาพรวมผิวเผิน การคิดอย่างเป็นระบบจะช่วยให้วิเคราะห์ธุรกิจได้ลึกซึ้งและถูกต้องยิ่งขึ้น
การคิดเชิงระบบจะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงของหลายๆปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจ เห็นถึงเหตุและผล ไม่ใช่มองแค่ผลลัพธ์สุดท้ายอย่างผิวเผิน เช่น ถ้ายอดขายบริษัทตก อาจจะไม่ใช่เพราะสินค้าไม่ดี แต่อาจเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือคู่แข่งออกสินค้าใหม่ ซึ่งเราจะมองเห็นได้ถ้าคิดอย่างเป็นระบบ การฝึกคิดอย่างเป็นระบบอยู่เสมอ จะช่วยให้นักลงทุนมีความแม่นยำในการวิเคราะห์มากขึ้น

7. ลงทุนเมื่อความเสี่ยงต่ำและมีความได้เปรียบ

คำสอนสำคัญของมังเกอร์คือ ควรลงทุนเมื่อมีความได้เปรียบและความเสี่ยงต่ำ อย่าฝืนลงทุนในขณะที่มีความเสี่ยงสูง แม้บางครั้งการรอคอยโอกาสอาจต้องใช้ความอดทน แต่มันคุ้มค่ากว่าการลงทุนอย่างมืดบอด ความเสี่ยงต่ำ หมายถึงบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ส่วนความได้เปรียบ หมายถึงการที่เรามีข้อมูลหรือมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นในตลาด ทำให้สามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มักจะมีความอดทนในการรอคอยจังหวะที่เหมาะสม ไม่ใจร้อน และเข้าลงทุนอย่างมั่นใจเมื่อเห็นโอกาสที่ชัดเจน

8. เรียนรู้จากความผิดพลาด

ถึงแม้มังเกอร์จะเป็นนักลงทุนที่เก่งมาก แต่เขาก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงความผิดพลาด แต่เขาจะเรียนรู้และถอดบทเรียนจากความผิดพลาดนั้นเสมอ การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมันจะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาฝีมือในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างมังเกอร์เอง ก็ยังมีบางครั้งที่ตัดสินใจผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อเกิดความผิดพลาด ต้องกล้ายอมรับและหาสาเหตุให้เจอ จดบันทึกไว้ และหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต ความผิดพลาดไม่ได้แย่เสมอไป ถ้าเรารู้จักเรียนรู้และนำมาปรับปรุงตัวเอง มันอาจจะกลายเป็นบทเรียนที่มีค่าที่ทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นได้

9. ศึกษาจากต้นแบบที่ดี

มังเกอร์เป็นแฟนตัวยงของ เบนจามิน เกรแฮม ราชาแห่งการลงทุนเชิงมูลค่า เขาศึกษาหลักการของเกรแฮมอย่างลึกซึ้ง และนำมาปรับใช้จนประสบความสำเร็จ การศึกษาจากต้นแบบที่ดีจะช่วยให้เรารู้ว่าจะใช้เส้นทางไหนในการลงทุนที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในทุกวงการ ล้วนมีบุคคลที่ประสบความสำเร็จและเป็นต้นแบบที่ดี การศึกษาแนวคิด วิธีการ จุดแข็ง หรือแม้แต่ความผิดพลาดของพวกเขา จะช่วยให้เราได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมปรับให้เข้ากับบริบทของเราด้วย เพราะแต่ละคนมีสไตล์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน สิ่งที่ใช้ได้ผลกับคนหนึ่ง อาจไม่ได้ผลกับอีกคน ดังนั้นต้องรู้จักนำมาประยุกต์ให้เหมาะสม

10. การลงทุนไม่ใช่เรื่องของดวง

หลายคนมองว่าการลงทุนเหมือนการพนัน แต่มังเกอร์ไม่เชื่อเช่นนั้น เขาเชื่อว่าการลงทุนเป็นเรื่องของการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผล มีวินัย มีความรู้ และการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่การลองผิดลองถูกหรือเสี่ยงโชค คนที่คิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องของดวง มักจะไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว เพราะพวกเขามักเสี่ยงโชคเกินไป ไม่ยอมศึกษาหาความรู้ ตัดสินใจจากข่าวลือหรืออารมณ์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุน ในทางกลับกัน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มักให้ความสำคัญกับการใช้เหตุผลมากกว่าดวง เพราะพวกเขารู้ว่าการลงทุนที่ดี ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน และวินัยในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

11. มีความกล้าแต่ไม่ประมาท

การจะลงทุนได้ดี บางครั้งต้องอาศัยความกล้าหาญเข้าไว้ โดยเฉพาะในยามที่ตลาดผันผวน หลายคนมักจะตัดสินใจอย่างผิดพลาดเพราะความกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ประมาท ต้องยึดหลักเหตุผลและข้อมูลเป็นหลัก มีสติและไม่ลงทุนเกินตัว ความกล้าที่ว่า ไม่ได้หมายถึงการกล้าแบบขาดสติ แต่เป็นความกล้าที่มาจากความมั่นใจ เพราะเรามีความรู้ มีข้อมูล และมีเหตุผลรองรับการตัดสินใจของเรา แม้คนส่วนใหญ่จะคิดต่าง แต่เรากล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ อย่างไรก็ตาม การมีความกล้าก็ต้องควบคู่ไปกับความไม่ประมาทด้วย ไม่ควรกล้าลงทุนจนเกินตัวหรือเสี่ยงมากเกินไป ต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เรายอมรับได้ และต้องมีสติในการตัดสินใจอยู่เสมอ

12. รู้จักเลือกคนให้ถูก

ในการทำธุรกิจ การได้ทำงานกับผู้บริหารและทีมงานที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างมาก มังเกอร์เองก็เฟ้นหาผู้บริหารและทีมงานที่มีความสามารถมาร่วมงานด้วยอยู่เสมอ เขาเชื่อว่าการทำธุรกิจกับคนที่ใช่จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก เมื่อตอบลงทุน บางครั้งเราให้ความสำคัญกับตัวธุรกิจมาก แต่อาจมองข้ามเรื่องคุณภาพของผู้บริหารไป ทั้งที่จริงๆแล้วนี่เป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะคนเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ ถ้าผู้บริหารไม่มีความสามารถ ขาดวิสัยทัศน์ หรือไม่ซื่อสัตย์ ธุรกิจนั้นก็ไปไม่รอดในระยะยาว ดังนั้นนักลงทุนที่ดี ต้องให้ความสำคัญกับการประเมินคุณภาพของผู้นำและทีมงานด้วย ไม่เพียงแต่มองตัวเลขผลประกอบการหรือศักยภาพของธุรกิจเท่านั้น

13. การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ

มังเกอร์เชื่อในการกระจายความเสี่ยง ไม่ควรเอาไข่ทั้งหมดใส่ตระกร้าเดียวกัน การลงทุนที่ดีควรมีการกระจายไปในหลายกลุ่มธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมให้ต่ำลง ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้ ในการลงทุน เราไม่สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงได้หมดทุกอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต บางธุรกิจที่ดูดีในวันนี้ อาจประสบปัญหาในอนาคตก็ได้ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม การกระจายความเสี่ยงก็ไม่ได้หมายความว่าลงทุนไปเรื่อยเปื่อยในทุกธุรกิจ แต่ต้องเลือกสรรธุรกิจที่ดี มีความหลากหลาย และอยู่ในวงเงินที่เหมาะสมด้วย

14. คิดแบบเจ้าของธุรกิจ

เวลาจะลงทุนในธุรกิจใด มังเกอร์มักจะคิดเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น มองว่าถ้าเป็นเจ้าของแล้ว เราจะตัดสินใจอย่างไร เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจได้ยังไง ซึ่งมุมมองแบบนี้ทำให้เขามองธุรกิจได้ลึกซึ้งกว่าเดิม เมื่อคิดแบบเจ้าของ เราจะไม่สนใจแต่ราคาหุ้นในระยะสั้น แต่จะมองการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว เราจะสนใจกับเรื่องความสามารถในการทำกำไร คุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความพึงพอใจของลูกค้า และการบริหารจัดการภายใน เป็นต้น การคิดแบบนี้จะทำให้เรามองเห็นแง่มุมที่นักลงทุนทั่วไปมองไม่เห็น และจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เพราะเราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่แท้จริงสำหรับธุรกิจ มากกว่าแค่ภาพลวงตาจากราคาหุ้น

15. ปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลง

โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มังเกอร์เป็นคนที่ยอมรับและปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี เขาเชื่อว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไป นักลงทุนก็ต้องปรับความคิดและวิธีการลงทุนให้สอดคล้องด้วย ถ้าเอาแนวคิดเดิมๆมาใช้ อาจจะใช้ไม่ได้ผล บริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่ง อาจอ่อนแอลงเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ในทางกลับกัน ธุรกิจที่ดูไร้ความหวัง อาจกลับมารุ่งอีกครั้งถ้าปรับตัวได้ กุญแจสำคัญคือการติดตามและเข้าใจการเปลี่ยนแปลง แล้วปรับแผนการลงทุนให้ทันท่วงที นักลงทุนที่ยืนหยัดยึดติดกับความคิดเดิมเกินไป คิดว่าสิ่งที่เคยใช้ได้ผลในอดีตจะใช้ได้ตลอดไป อาจพบกับความผิดหวังในอนาคต เพราะโลกเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่คิด การปรับตัวให้ทันโลก ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนยุคใหม่

สรุป

จากข้อคิดที่กล่าวมาทั้งหมด ชาร์ลี มังเกอร์ ถือเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีทั้งความรู้ ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล หลักการลงทุนของเขามีคุณค่าต่อนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุผล การเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง กล้าตัดสินใจแต่ไม่ประมาท รู้จักกระจายความเสี่ยง และปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

ถ้านำหลักคิดเหล่านี้มาปรับใช้ จะช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้ สะสมประสบการณ์ กล้าลองผิดลองถูก และค่อยๆพัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น อดทน และขยันเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ

หลักคิดของชาร์ลี มังเกอร์ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นเครื่องมือและแนวทางที่มีประโยชน์ ซึ่งถ้านำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและรูปแบบการลงทุนของแต่ละคน ก็จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตีความ การฝึกฝน และการนำมาปฏิบัติจริงของนักลงทุนแต่ละคนด้วยเช่นกัน