สรุปหนังสือ ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

ชื่อผู้แต่ง : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น

ปีพิมพ์ : 1 / 2551

จำนวนหน้า : 184 หน้า

หมวดหนังสือ : หุ้นและการลงทุน

สารบัญ

  • บทที่ 1 ลงทุนในหลักทรัพย์ต้องทำให้เหมือนกับการเข้าหุ้นทำธุรกิจ
  • บทที่ 2 การวิเคราะห์ฐานการเงิน และผลการดำเนินการของกิจการ
  • บทที่ 3 หุ้นถูก – หุ้นแพง
  • บทที่ 4 สไตล์การลงทุน
  • บทที่ 5 ตีแตก
  • บทที่ 6 นักลงทุนเอกของโลก
  • บทที่ 7 การค้นหาหุ้นที่ซื้อและขาย
  • บทที่ 8 เรื่องน่าห่วงในการลงทุน
  • บทที่ 9 การลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ
  • บทที่ 10 บทส่งท้าย
  • บทเสริม การจัดตั้งชมรมการลงทุน

 

 

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต” โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นำเสนอแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ใช้ได้จริง แม้ในยามที่ตลาดผันผวน เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นโอกาสจากวิกฤต เนื้อหาเน้นไปที่การลงทุนเชิงคุณค่า (Value Investing) ซึ่งเป็นปรัชญาการลงทุนที่ยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว พร้อมแนะนำวิธีประยุกต์ใช้แนวคิดของกูรูลงทุนระดับโลก เพื่อค้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาเนื้อหาในเล่มนี้เพื่อวางรากฐานความคิดที่ถูกต้อง ส่วนนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วก็จะได้ไอเดียดีๆ ไปต่อยอดการลงทุนให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น

1. มองวิกฤตเป็นโอกาส

ในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำจากความผันผวน ผู้คนมักตื่นตระหนกขายหุ้นทิ้ง จนหุ้นหลายตัวร่วงลงมามากเกินไป แท้จริงแล้วนี่คือโอกาสทองที่จะได้หุ้นดีในราคาถูก เพราะหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งมักฟื้นตัวขึ้นมาอีกเมื่อวิกฤตผ่านพ้นไป ดร.นิเวศน์ยกตัวอย่างวิกฤตหลายครั้งที่เกิดขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก แต่ก็กลับมาฟื้นตัวและปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไปเสมอ นักลงทุนที่มีสติและมองการณ์ไกล จึงควรอาศัยจังหวะที่คนอื่นผวาขายหุ้น เข้าไปสะสมหุ้นคุณภาพ แล้วอดทนถือจนกว่าราคาจะสูงขึ้นตามที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นการทวนกระแสที่ต้องใช้ความเข้าใจและระบบวินัยสูง

2. ลงทุนแบบเน้นคุณค่า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือการมองหาหุ้นที่มีมูลค่าแท้จริงมากกว่าราคาในตลาด โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เช่น ศักยภาพในการทำกำไร ฐานะทางการเงิน และความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ ่งจะทำให้ได้หุ้นคุณภาพดีในราคาย่อมเยา การลงทุนแบบนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ค้นหาส่วนต่างระหว่างราคากับมูลค่า ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก และขายทำกำไรเมื่อราคาสูงเกินมูลค่าไปมาก ซึ่งเป็นแนวทางการลงทุนของปรมาจารย์อย่างเบนจามิน เกรแฮม และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ทั้งปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ดี เพียงแต่ต้องอาศัยความอดทนในการรอคอยเป็นอย่างสูง

3. คัดเลือกหุ้นให้เป็น

ต้องเรียนรู้ที่จะคัดเลือกบริษัทที่ดีที่สุด โดยดูจากปัจจัยต่างๆ เช่น มีกำไรสม่ำเสมอและเติบโตอย่างยั่งยืน หนี้สินน้อยเมื่อเทียบกับทุน ทีมบริหารเก่ง และมีโมเดลธุรกิจที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะทำให้มั่นใจว่าลงทุนในบริษัทที่มีภูมิคุ้มกันสูง ดร.นิเวศน์ แนะนำว่าควรจะต้องเลือกบริษัทที่ 1.กำไรต่อหุ้นเติบโตสูงกว่า 10% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง 2.อัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 40% 3.มี ROE ไม่น้อยกว่า 15% 4.มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า 5.มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกมาโดยตลอด หากผ่านเกณฑ์เหล่านี้ ก็เพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้นว่า บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินและสามารถสร้างผลกำไรได้ดีอย่างยั่งยืน

4. จำลองเป็นเจ้าของกิจการ

ให้ลงทุนเหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ คือศึกษาลงลึกถึงโครงสร้างรายได้และรายจ่าย ความได้เปรียบเชิงธุรกิจ รวมถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคต เสมือนเป็นหุ้นส่วนถาวร ไม่ใช่แค่เก็งกำไรหวังขายทำกำไรในระยะสั้น เวลาตัดสินใจลงทุนในหุ้นสักตัว เราต้องคิดเสมอว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการนั้นจริงๆ เราจะยอมซื้อมันในราคาเท่าไหร่ ซึ่งก็คือการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของกำไร ความสามารถในการแข่งขัน และอนาคตของธุรกิจ ว่าน่าสนใจเพียงพอที่จะร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ การคิดแบบนี้จะทำให้เราเลือกหุ้นอย่างรอบคอบมากขึ้น และไม่ใช่แค่ตามกระแสตลาดไปเรื่อยๆ

5. อย่าพึ่งพิงข่าวลือ

นักลงทุนต้องไม่ตัดสินใจเพียงเพราะข่าวลือ หรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน แต่ต้องยึดข้อมูลจากงบการเงิน ผลประกอบการ และแนวโน้มธุรกิจที่เป็นข้อเท็จจริง ถึงจะสามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ ในยุคที่ข่าวสารและข้อมูลเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด เป็นเรื่องท้าทายที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรเป็นเพียงข่าวลือ ซึ่งนักลงทุนจะต้องฝึกใช้วิจารณญาณให้มาก ด้วยการไม่ด่วนสรุป แต่ใช้เวลาตรวจสอบที่มาของข้อมูล เปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง คิดวิเคราะห์ด้วยตรรกะ ไม่ใช่คล้อยตามอารมณ์หรือคำบอกเล่าของใครง่ายๆ เพราะมิเช่นนั้นเราอาจตกเป็นเหยื่อของกลโกงหรือกระแสเท็จได้ง่าย

6. ศึกษาจากตำนาน

ดร.นิเวศน์แนะนำให้ศึกษาแนวทางลงทุนของกูรูระดับโลก เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์, จอร์จ โซรอส และปีเตอร์ ลินช์ แล้วนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของเรา จะเป็นหลักชัยให้เรามั่นใจยิ่งขึ้นในการเลือกหุ้นลงทุน ทั้งสามท่านล้วนมีปรัชญาการลงทุนแตกต่างกันไป แต่มีจุดร่วมคือความมีวินัยในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ของตนอย่างเคร่งครัด พร้อมศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แม้เราจะไม่สามารถลอกเลียนแบบพวกเขาได้ทั้งหมด แต่ก็ควรนำหลักการสำคัญ เช่น การประเมินมูลค่า การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมอารมณ์ มาปรับใช้ตามแบบฉบับของตนเอง

7. กระจายความเสี่ยง

อย่าไข่ใส่ตะกร้าใบเดียว ต้องกระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัวที่หลากหลาย ทั้งในแง่อุตสาหกรรม ขนาดบริษัท แม้กระทั่งสัดส่วนการถือครอง เพราะเราไม่อาจรู้อนาคต การกระจายลงทุนจะช่วยลดผลกระทบหากมีหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหา การกระจายความเสี่ยงทำได้หลายวิธี เช่น ลงทุนในหุ้นที่อยู่คนละภาคธุรกิจกัน มีขนาดต่างกัน หรือมีปัจจัยขับเคลื่อนแตกต่างกัน เช่น ตัวหนึ่งพึ่งการส่งออก อีกตัวขายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งโอกาสที่หุ้นทุกตัวจะล้มหมดพร้อมกันย่อมน้อยลง อย่างไรก็ดีการกระจายการลงทุนก็ไม่ควรมีมากจนเกินไป จนเราดูแลและติดตามไม่ทั่วถึง โดยทั่วไปนักลงทุนรายย่อยไม่ควรถือหุ้นเกิน 15-20 บริษัทต่อพอร์ต ก็เพียงพอแล้ว

8. ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน

การวางแผนผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ล่วงหน้า จะทำให้เรามีหลักในการประเมินมูลค่าหุ้น และตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าหุ้นไหนน่าซื้อที่ราคาเท่าไร เพื่อให้ได้กำไรตามเป้าหมาย แทนที่จะใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินการตั้งผลตอบแทนที่คาดหวังต้องให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัว เช่น หุ้นที่ธุรกิจเสี่ยงสูงผันผวนมาก ก็ต้องตั้งเป้าผลตอบแทนไว้สูงกว่าหุ้นที่มั่นคง เพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่มากกว่า ซึ่งอาจจะประเมินจากอัตราผลตอบแทนในอดีต หรือใช้ benchmark เช่น พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวบวกกับความเสี่ยงเพิ่ม เป็นต้น จากนั้นเราก็นำผลตอบแทนที่คาดหวังไปใช้ในสูตรทางการเงิน เช่น discounted cash flow หรือ dividend discount model เพื่อคำนวณมูลค่าหุ้นในทางทฤษฎีว่าควรจะเป็นเท่าไร และนำมาเทียบกับราคาตลาดเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขายนั่นเอง

9. มีวินัยในการลงทุน

ต้องอดทนรอคอยจังหวะในการซื้อและขาย โดยยึดหลักการประเมินมูลค่าเป็นหลัก อย่าหลงไปกับกระแสตลาดหรือคำแนะนำจากคนอื่น ต้องมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง และทำอย่างมีวินัยสม่ำเสมอ วินัยเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีวินัยในการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน รอบคอบ มีวินัยในการปฏิบัติตามแผนและขั้นตอนการลงทุนที่วางไว้ มีวินัยที่จะอดทนถือหุ้นที่มีคุณภาพต่อไปแม้ในยามตลาดผันผวน และมีวินัยที่จะขายหุ้นทิ้งทันทีเมื่อพบว่ามูลค่าพื้นฐานเปลี่ยนแปลงในทางลบ โดยไม่หวังว่าราคาจะกลับมาอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นวินัยติดตัว แม้อาจจะล้มเหลวไปบ้างในช่วงแรก แต่หากมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป ท้ายที่สุดก็จะเป็นนักลงทุนที่เก่งและมีวินัยได้อย่างแน่นอน

10. คิดยาวและคิดบวก

การลงทุนในหุ้นไม่ใช่แค่การทำกำไรระยะสั้น แต่เป็นกระบวนการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ดังนั้นอย่าหวั่นไหวไปกับความผันผวนระยะสั้น แต่ให้มองไปที่โอกาสการเติบโตในระยะยาว และมีความคิดเชิงบวกอยู่เสมอ การที่เราลงทุนในหุ้นบริษัทที่ดี มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่แข็งแรง ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการบ่มเพาะ รดน้ำพรวนดิน จนกว่ามันจะเติบโตและให้ผลผลิตที่งอกงาม ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคบ้าง เช่น ศัตรูพืชมารบกวน สภาพอากาศแปรปรวน แต่หากเรายังคอยดูแลและเชื่อมั่นในพันธุ์ไม้ที่ปลูกไว้ สักวันต้นไม้เหล่านั้นก็จะให้ร่มเงาและผลผลิตอย่างเต็มที่แน่นอน การลงทุนก็เช่นกัน เมื่อเจอความผันผวนระยะสั้น อย่าเพิ่งท้อถอยและขายหุ้นทิ้งง่ายๆ แต่ให้มองการณ์ไกล ว่าบริษัทนั้นมีศักยภาพในการเติบโตเพียงใด และมั่นใจว่าถ้ายังคงถือต่อไป สักวันผลตอบแทนก็จะสมน้ำสมเนื้อแน่นอน ขอเพียงมีจิตใจที่เข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีไว้เสมอ

11. ขยันศึกษาหาความรู้

ไม่มีคำว่าเรียนรู้ได้หมดเมื่อพูดถึงการลงทุน นักลงทุนที่ดีต้องไม่หยุดแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ทั้งด้านการวิเคราะห์หุ้น กลยุทธ์การลงทุน รวมถึงความเคลื่อนไหวธุรกิจในวงกว้าง เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการลงทุนอยู่เสมอ การลงทุนเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดชีวิต เพราะโลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีบริษัทและอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย การจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวไหนได้อย่างชาญฉลาด เราจึงต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ในตลาดหุ้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี และอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจในระยะยาว นอกจากนี้ยังต้องศึกษาทฤษฎี เครื่องมือ และกลยุทธ์การลงทุนแบบใหม่ๆ เพื่อเสริมความแกร่งให้พอร์ตของตนเอง ซึ่งอาจอ่านจากหนังสือ บทวิเคราะห์ หรือแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักลงทุนคนอื่นๆ บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องกลับมาทบทวน ไตร่ตรอง และวิเคราะห์ด้วยตนเองเสมอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริง

12. ยอมรับผลการตัดสินใจ

การลงทุนย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ให้ถือเป็นบทเรียนที่จะนำไปปรับปรุงวิธีคิดและการตัดสินใจในอนาคต อย่ามัวแต่เสียใจหรือโทษคนอื่น มีคำกล่าวว่า “การลงทุนคือการทดลองเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง” เพราะต่อให้มีประสบการณ์มากเพียงใด เราก็ไม่อาจคาดเดาอนาคตได้อย่างถูกต้องเสมอไป การลงทุนจึงต้องเผื่อใจไว้เสมอว่าอาจมีการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญคือต้องกล้ายอมรับความผิดพลาดนั้น และนำมาวิเคราะห์ทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เราคิดหรือประเมินอะไรพลาดไป และจะปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจอย่างไรต่อไป อย่ามัวแต่จมอยู่กับความผิดหวังเสียใจ หรือโทษโน่นนี่ จนไม่ได้บทเรียนอะไรกลับมาเลย ถ้าเรานำข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นอุปกรณ์การเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สักวันเราจะเป็นนักลงทุนที่เก่งกาจได้ด้วยตัวเองแน่นอน

13. คิดอิสระ อย่าตามฝูงชน

นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะคล้อยตามมติมหาชน เช่น เมื่อเห็นคนอื่นซื้อก็รีบซื้อตาม ทำให้มูลค่าหุ้นสูงเกินจริงจากพฤติกรรมฝูงชน วิธีเอาชนะคือต้องคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผล ไม่หลงตามความเชื่อหรือข่าวลือโดยไม่มีหลักฐานรองรับ การคิดต่างจากคนส่วนใหญ่บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็น แม้อาจถูกมองว่าเป็นตัวแปลก แต่ประวัติศาสตร์การลงทุนก็พิสูจน์มาแล้วว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จล้วนแต่มีความคิดอิสระเป็นของตนเอง กล้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ตลาดผวาขาย กล้าขายหุ้นออกเมื่อคนอื่นกำลังเริ่มซื้อกันใหญ่ พวกเขาไม่ได้ทำแบบนี้เพราะอยากเด่น แต่เพราะมีเหตุผลหนักแน่นมารองรับ จากการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าอย่างรอบคอบด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือคำบอกเล่า การที่เราคิดต่างบ้างในบางครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่เรามีเหตุผลที่ดี และพร้อมรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตนเอง

14. จัดพอร์ตเป็นระบบ

การมีพอร์ตการลงทุนที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นที่แน่นอน มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มหุ้น มีเป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรามีแนวทางในการบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์การลงทุน ระยะเวลา และผลตอบแทนที่ต้องการ จากนั้นก็วิเคราะห์ตัวเองว่ามีความเสี่ยงได้มากแค่ไหน แล้วจึงกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุน ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงนั้น และสุดท้ายคือการคัดเลือกหุ้นแต่ละตัวเข้ามาอยู่ในพอร์ต โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น คุณภาพของธุรกิจ ผลการดำเนินงาน มูลค่าพื้นฐาน และอัตราการเติบโต เมื่อมีระบบที่ชัดเจน เราจะสามารถติดตามผลงานและปรับเปลี่ยนพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในยามที่ตลาดผันผวนหรือมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น

15. ปรับตัวให้ทันโลก

ภาพรวมเศรษฐกิจ ตลาด และพฤติกรรมของนักลงทุนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นักลงทุนที่ดีต้องติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ก็ต้องยังคงยึดมั่นกับปรัชญาการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อความอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน เมื่อ 10-20 ปีก่อน การเข้าถึงข้อมูลเพื่อการลงทุนเป็นเรื่องยาก ต้องพึ่งพาข้อมูลจากนักวิเคราะห์ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือโบรกเกอร์เป็นหลัก แต่ในยุคนี้ข้อมูลมีให้เลือกมากมายแบบเรียลไทม์ แถมยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ที่ฉลาดขึ้น ทำให้การลงทุนทำได้ง่ายขึ้น แต่การแข่งขันก็สูงขึ้นด้วย นักลงทุนที่ปรับตัวไม่ทันก็จะเสียเปรียบได้ กุญแจสำคัญคือการยึดมั่นในปรัชญาการลงทุนที่เชื่อมั่น เช่น หลักการลงทุนเน้นคุณค่าของคุณกวี แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดรับเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลงทุนด้วย เช่น การใช้โปรแกรมคัดกรองหุ้น การอ่านงบการเงินผ่านระบบออนไลน์ การติดตามข่าวสารและข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เราคงความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยต้องระวังไม่ให้เทคโนโลยีเหล่านี้มาบิดเบือนวิจารณญาณ หรือดึงเราออกห่างจากปรัชญาการลงทุนที่ถูกต้อง เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หลักการลงทุนที่ดีย่อมไม่เปลี่ยนแปลง

สรุป

หนังสือ “ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต” โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปี่ยมไปด้วยหลักคิดและกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นคุณค่าเชิงลึกกว่า 15 ประการ ทั้งการคัดเลือกหุ้นคุณภาพ การประเมินมูลค่าที่แท้จริง การจัดพอร์ตเชิงระบบ รวมถึงการพัฒนาแนวคิดและทัศนคติที่ถูกต้องของนักลงทุน เนื้อหาดีๆ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้อ่านมีกรอบคิดที่เป็นระบบ และกล้าที่จะใช้ภาวะวิกฤตให้เป็นโอกาสในการลงทุนอย่างชาญฉลาด เพื่อบรรลุเป้าหมายความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว คุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะหามาอ่าน