สรุปรีวิวหนังสือ Money Mindset วิธีคิดเรื่องเงิน

หนังสือ Money Mindset
หนังสือ Money Mindset

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : Money Mindset วิธีคิดเรื่องเงิน

ชื่อผู้แต่ง : จักรพงษ์ เมษพันธุ์ (โค้ชหนุ่ม – The Money Coach)

สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED)

ปีที่พิมพ์ : 2565 (2022)

จำนวนหน้า : 424 หน้า

หมวดหนังสือ : การเงินส่วนบุคคล

สารบัญ

หนังสือประกอบด้วย 50 บทและบทส่งท้าย โดยแบ่งเป็นหัวข้อย่อยดังนี้:

  • บทที่ 1-10: เน้นเรื่องความมั่นคงทางการเงิน การวางแผนการเงิน และการออม
  • บทที่ 11-20: เน้นเรื่องการจัดการหนี้สิน การวางแผนรับมือวิกฤต และแนวคิดในการชนะหนี้
  • บทที่ 21-30: เน้นเรื่องอิสรภาพทางการเงิน มุมมองด้านความมั่งคั่ง และการเปลี่ยนกรอบความคิด
  • บทที่ 31-40: เน้นเรื่องการจัดการเงิน การลงทุน และวิธีคิดของนักลงทุน
  • บทที่ 41-50: เน้นเรื่องอิสรภาพการเงิน การลงทุน และจัดการเงินอย่างเป็นระบบ
  • บทส่งท้าย: ลงทุนเวลา เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งและมีความสุข

สรุปแนวคิดสำคัญจากหนังสือ

หนังสือเล่มนี้นำเสนอมุมมองและวิธีคิดเกี่ยวกับการเงินผ่านประสบการณ์จริงของผู้เขียน โค้ชหนุ่ม หรือจักรพงษ์ เมษพันธุ์ ที่มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินส่วนบุคคลมากกว่า 18 ปี โดยเน้นย้ำว่า “ความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ ‘ความคิด’ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงินนั้นสำคัญกว่า” หนังสือนำเสนอหลักคิดเล็กๆ ที่ผลักดันให้เกิดการกระทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว

1. ปลายทางคือความมั่นคงทางการเงิน

ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Security) เป็นเป้าหมายที่ทุกคนควรมุ่งไปให้ถึง ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ:

  1. มีรายได้ มีเงินกิน มีใช้จ่ายไม่ขาดมือ (สภาพคล่องที่ดี)
  2. สะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
  3. หากโชคร้ายเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ก็รับมือไหว ไม่ทำให้ชีวิตการเงินพังหรือเสียหาย

ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่ครอบครัวเคยมีฐานะดี แต่กลับประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักในช่วงวิกฤตปี 2540 จนติดหนี้ 18 ล้านบาท ทำให้ผู้เขียนตั้งปณิธานที่จะสร้างความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืน

2. ผ่านไปแต่ละปี เรารวยขึ้นหรือจนลง

ผู้เขียนแนะนำให้ทุกคนตรวจทานความมั่งคั่งของตนเองเป็นประจำทุกปี โดยการทำตารางทรัพย์สินและหนี้สิน แล้วคำนวณ “ความมั่งคั่งสุทธิ” (Net Worth) ด้วยการนำมูลค่าทรัพย์สินลบด้วยมูลค่าหนี้สินทั้งหมด

ถ้าความมั่งคั่งสุทธิเป็น “บวก” แสดงว่าดี และยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าแล้วพบว่าเป็นบวกมากขึ้นทุกปี ก็แสดงว่า “เรารวยขึ้น” ในทางตรงกันข้าม หากความมั่งคั่งสุทธิลดลงหรือเป็นลบ แสดงว่า “เราจนลง”

3. มีสูตรบริหารเงินของตัวเอง

หลายคนอาจคุ้นเคยกับสูตรบริหารเงินแบบ 50-30-20 หรือ 60-25-15 ที่กำหนดสัดส่วนเงินรายได้ให้แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข และเงินออม แต่ผู้เขียนเน้นว่าสูตรบริหารเงินที่ดีนั้นควรเหมาะกับบริบทชีวิตของแต่ละคน

ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ส่วนตัวว่าเริ่มต้นด้วยการออมเพียง 3% ของรายได้ (สูตร 3-97) ก่อนค่อยๆ ปรับเพิ่มเป็น 5% (5-95) และ 10% (10-90) ตามลำดับ จนปัจจุบันมาถึง 50% (50-50) และแบ่งการออมเป็น 3 ตะกร้า ได้แก่:

  • ตะกร้าเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (เก็บ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน)
  • ตะกร้าเงินเกษียณรวย (เพื่อใช้ 20 ปีหลังเกษียณ)
  • ตะกร้าเกษียณเร็ว (ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสเกษียณเร็ว)

4. ยิ่งเงินน้อยยิ่งต้องวางแผนการเงิน

หลายคนเข้าใจผิดว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องของคนมีเงินเยอะ แต่ผู้เขียนเน้นว่า “ยิ่งมีเงินน้อยยิ่งต้องวางแผน และต้องวางแผนให้ละเอียดด้วย” โดยเฉพาะการวางแผนสภาพคล่อง (การจัดการรายได้และค่าใช้จ่าย)

ผู้เขียนแนะนำให้คนที่เงินไม่พอใช้ ทำตารางรายรับรายจ่ายล่วงหน้า 6 เดือน เพื่อดูว่าเงินคงเหลือในแต่ละเดือนเป็นบวกหรือลบ และวางแผนจัดการรายจ่ายให้เหมาะสม รวมถึงหาวิธีเพิ่มรายได้

5. “รายได้” ไม่ใช่ “ความมั่งคั่ง”

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการสับสนระหว่างรายได้กับความมั่งคั่ง ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่ารายได้สูงไม่ได้หมายความว่าจะมีความมั่งคั่งสูงเสมอไป

รายได้เป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเรามีโอกาสมั่งคั่งได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ตัววัดความมั่งคั่งที่แท้จริงอยู่ที่ “รายเหลือ” หรือเงินที่สามารถเก็บออมและนำไปลงทุนต่อยอดได้ ตามคำกล่าวที่ว่า “It’s not how much you earn, but how much you save” (ไม่ใช่ว่าคุณหาเงินได้เท่าไร แต่อยู่ที่คุณเก็บออมได้เท่าไร)

6. เริ่มเหลือ… เริ่มรวย

เมื่อเราเริ่มมีเงินเหลือ นั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของการสร้างความมั่งคั่ง ผู้เขียนอธิบายว่าในขณะที่รายได้เป็นผลจากการมอบคุณค่าให้ผู้อื่น ความมั่งคั่งเกิดจากการสะสมเงินที่เหลือและต่อยอดให้งอกเงย

การคิดแบบ “เงินเหลือก่อน แล้วค่อยใช้” จะช่วยให้เรามีเงินเก็บได้มากกว่าแนวคิด “ใช้ก่อน แล้วค่อยเก็บส่วนที่เหลือ” ซึ่งมักจะไม่มีเงินเหลือให้เก็บ

7. ออมเงินแบบ “ดีต่อใจ”

การออมเงินที่ดีควรให้ความรู้สึก “ดีต่อใจ” เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง แม้จะออมเพียงเล็กน้อย 2-3% ก็ตาม หากทำได้อย่างต่อเนื่องจะสร้างความภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเอง

หลักสำคัญคือการออมแบบ “จ่ายตัวเองก่อน” (Pay Yourself First) โดยหักเงินออมทันทีที่ได้รับเงินเดือน ก่อนนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น

8. โค้ชหนุ่มออมเงินยังไง

ผู้เขียนเล่าถึงวิธีออมเงินของตัวเองว่าใช้ระบบการแบ่งเงินออกเป็น 3 ตะกร้า ได้แก่ เงินสำรองฉุกเฉิน เงินเกษียณรวย และเงินเกษียณเร็ว ซึ่งแต่ละตะกร้ามีวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

การแบ่งเงินออมเป็นหลายส่วนช่วยให้จัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นในการใช้เงินตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

9. เป้าหมายการเงินที่หลายคนมองข้าม

นอกเหนือจากเป้าหมายทั่วไปอย่างการปลดหนี้ การซื้อบ้าน หรือการเกษียณอายุ ผู้เขียนแนะนำให้ตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิต รวมถึงการสร้างอิสรภาพทางการเงิน

เป้าหมายการเงินที่ดีควรมีทั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างแรงจูงใจและความต่อเนื่องในการบริหารจัดการเงิน

10. ความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉิน

ผู้เขียนเน้นย้ำความสำคัญของการมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การตกงาน การเจ็บป่วย หรือภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ

เงินสำรองฉุกเฉินควรอยู่ในรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูง เข้าถึงได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำระยะสั้น

11. “จำเป็น + พร้อม” ในการก่อหนี้

ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ก้อนใหญ่ เช่น การกู้ซื้อบ้าน ควรพิจารณาให้รอบคอบว่า “จำเป็น” จริงหรือไม่ และ “พร้อม” ที่จะรับภาระหนี้สินนั้นหรือไม่

หนี้ที่ดีควรเป็นหนี้ที่สร้างมูลค่าหรือรายได้ในอนาคต เช่น หนี้เพื่อการศึกษา หนี้เพื่อซื้อบ้าน หรือหนี้เพื่อลงทุนในธุรกิจ ส่วนหนี้บริโภคควรหลีกเลี่ยงหากไม่จำเป็น

12. การจัดการเงินเมื่อมีหนี้

ผู้เขียนนำเสนอเทคนิคการจัดการเงินเดือนเมื่อมีภาระหนี้ โดยแนะนำให้แยกเงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้ และใช้รายได้พิเศษ เช่น โอทีหรือรายได้เสริม เอาไว้สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว

วิธีนี้ช่วยให้มีวินัยในการชำระหนี้ และไม่กระทบกับคุณภาพชีวิตมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

13. อย่าใช้การแก้แค้นเป็นแรงจูงใจทางการเงิน

ผู้เขียนเตือนให้ระวังการใช้ความรู้สึกแก้แค้นหรือต้องการพิสูจน์ตัวเองเป็นแรงจูงใจในการสร้างความสำเร็จทางการเงิน เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและไม่สร้างความสุขที่แท้จริง

แรงจูงใจที่ดีควรมาจากความต้องการสร้างชีวิตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว ไม่ใช่เพื่อประชดหรือเอาชนะผู้อื่น

14. ความสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิต

การทำงานหาเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ควรเสียสมดุลในชีวิต ผู้เขียนแนะนำให้หาจุดสมดุลระหว่างการทำงานสร้างรายได้กับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

คุณค่าของเงินอยู่ที่การนำไปใช้ยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่ใช่การสะสมโดยไม่นำไปใช้ประโยชน์ การมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดจุดสมดุลนี้ได้

15. การเตรียมตัวรับมือวิกฤตทางการเงิน

วิกฤตทางการเงินสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ผู้เขียนแนะนำให้เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า โดยการมีเงินสำรองฉุกเฉิน การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และการมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดการเงินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตัดสินใจได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดวิกฤต

16. ทางลัดทางการเงินที่ยั่งยืน

ผู้เขียนเน้นว่า “ทางตรงคือทางลัดที่ดีที่สุด” ในการสร้างความมั่งคั่ง ไม่มีสูตรวิเศษหรือทางลัดที่จะทำให้รวยเร็วโดยไม่มีความเสี่ยง

ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนเกิดจากการมีวินัยในการออม การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และการมีความอดทนในระยะยาว ซึ่งเป็นทางตรงที่ทุกคนรู้ แต่น้อยคนที่จะทำตามได้อย่างเคร่งครัด

17. การเปลี่ยนมุมมองเรื่องการเงิน

การปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดเกี่ยวกับเงินมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมทางการเงิน ผู้เขียนแนะนำให้มองเงินเป็นเครื่องมือสร้างอิสรภาพและโอกาส ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต

คนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเงินมักจะมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่าคนที่มีความกังวลหรือความเชื่อที่จำกัดเกี่ยวกับเงิน

18. ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับความรับผิดชอบ

รายได้ที่สูงขึ้นมักมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น ผู้เขียนเน้นความสำคัญของการพัฒนาทักษะและความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นและโอกาสในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น

การลงทุนในตัวเองผ่านการศึกษาและพัฒนาทักษะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว

19. เกมการเงินกับชีวิตจริง

ผู้เขียนเปรียบเทียบการจัดการเงินเหมือนการเล่นเกม ที่มีกฎกติกา มีเป้าหมาย และมีกลยุทธ์ การทำความเข้าใจกฎและกลไกของเกมการเงินจะช่วยให้เราเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหมือนในเกมที่เราต้องวางแผน จัดการทรัพยากร และเรียนรู้จากความผิดพลาด การจัดการเงินก็ต้องอาศัยทักษะเหล่านี้เช่นกัน

20. การบริหารเงินในครอบครัว

การสื่อสารเรื่องเงินในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ผู้เขียนแนะนำวิธีพูดคุยเรื่องการเงินกับคู่ครอง และการปลูกฝังนิสัยทางการเงินที่ดีให้กับลูก

ครอบครัวที่มีเป้าหมายทางการเงินร่วมกันและสื่อสารกันอย่างเปิดเผยมักจะประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่าครอบครัวที่ไม่พูดคุยกันเรื่องเงิน

สรุป

หนังสือ Money Mindset นำเสนอแนวคิดสำคัญว่า “ความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงินนั้นสำคัญกว่า” ผู้เขียนเน้นย้ำว่าหลักคิดเล็กๆ ที่ถูกต้องและการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินในระยะยาว

จุดเด่นของหนังสือคือการนำเสนอเนื้อหาผ่านเรื่องเล่าและประสบการณ์จริงของผู้เขียน ทำให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง หนังสือไม่ได้เน้นทฤษฎีการเงินที่ซับซ้อน แต่เน้นหลักคิดและมุมมองที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเงิน

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการปรับปรุงสถานะทางการเงินและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นวางแผนการเงิน หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมุมมองและหลักคิดเกี่ยวกับเงิน