สรุปรีวิวหนังสือ THE MAGIC OF THINKING BIG คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

หนังสือ THE MAGIC OF THINKING BIG คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก
หนังสือ THE MAGIC OF THINKING BIG คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : The Magic of Thinking Big คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

ชื่อผู้เขียน : David J. Schwartz

ผู้แปล : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สำนักพิมพ์ : บริษัท วีเลิร์น จำกัด

สารบัญ

  • บทที่ 1 ถ้าคุณคิดว่าทำได้ คุณก็ทำได้
  • บทที่ 2 รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ โรคแห่งความล้มเหลว
  • บทที่ 3 สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว
  • บทที่ 4 วิธีการคิดใหญ่
  • บทที่ 5 วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์
  • บทที่ 6 คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น
  • บทที่ 7 จัดการกับสภาพแวดล้อมของคุณ เอาชั้นหนึ่ง
  • บทที่ 8 ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกัน
  • บทที่ 9 คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น
  • บทที่ 10 สร้างนิสัยในการลงมือทำ
  • บทที่ 11 วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ
  • บทที่ 12 ใช้เป้าหมายช่วยให้คุณโต
  • บทที่ 13 วิธีที่จะคิดเหมือนกับเป็นผู้นำ
  • บทที่ 14 วิธีใช้ความคิดใหญ่ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก” เป็นหนังสือพัฒนาตนเองระดับคลาสสิกที่ได้รับความนิยมมากว่า 20 ปี ซึ่งนำเสนอแนวคิดหลักว่า “ขนาดของความสำเร็จถูกกำหนดโดยขนาดของความคิด” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนที่คิดเล็กก็จะประสบความสำเร็จเล็ก ส่วนคนที่คิดใหญ่ก็จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ โดยหนังสือเล่มนี้นำเสนอหลักการและเทคนิคที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถพัฒนาวิธีคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

1. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นรากฐานของความสำเร็จ

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่คือความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้เขียนเน้นย้ำว่า “ถ้าคุณคิดว่าทำได้ คุณก็ทำได้” ความเชื่อมั่นในตนเองจะกำหนดสิ่งที่เราพยายามทำและวิธีที่เราทำสิ่งนั้น เพราะเมื่อเราเชื่อว่าเราทำได้ สมองของเราจะหาวิธีการทำให้เป็นจริง แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ สมองก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนความล้มเหลว

เทคนิคสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น ได้แก่

  • การคิดบวกและพูดกับตัวเองในแง่บวกอยู่เสมอ
  • การจินตนาการถึงตัวเองในแบบที่ประสบความสำเร็จ
  • การลงมือทำแม้จะกลัว เพราะการกระทำจะช่วยขจัดความกลัวได้

2. กำจัดโรคชอบแก้ตัว 4 ประการ

ผู้เขียนกล่าวว่า “โรคชอบแก้ตัว” เป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จ โดยข้ออ้างยอดนิยมมี 4 ประการ ได้แก่

ข้ออ้างที่ 1: เรื่องสุขภาพ – หลายคนอ้างเรื่องสุขภาพไม่ดีเป็นเหตุผลที่ไม่ลงมือทำ วิธีแก้คือให้หยุดพูดถึงปัญหาสุขภาพ และหันมาโฟกัสที่ส่วนที่ยังดีอยู่แทน

ข้ออ้างที่ 2: เรื่องความฉลาด – คนมักประเมินสมองตนเองต่ำเกินไปและประเมินหัวสมองคนอื่นสูงเกินไป ความจริงแล้วความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับไอคิวเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติและการใช้ความรู้ที่มีอยู่อย่างสร้างสรรค์

ข้ออ้างที่ 3: เรื่องอายุ – มีทั้ง “แก่เกินไป” และ “ยังเด็กเกินไป” วิธีแก้คือการเปลี่ยนมุมคิดและมองว่าทุกช่วงอายุล้วนมีโอกาสของมัน ไม่ควรเสียใจกับอดีตที่ผ่านไปแล้วแต่ให้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่เดี๋ยวนี้

ข้ออ้างที่ 4: เรื่องโชค – หลายคนชอบอ้างว่าตัวเองโชคไม่ดี ให้เปลี่ยนความคิดใหม่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุและผล และเราสามารถสร้างโชคดีได้ด้วยความทุ่มเท การทำงานหนัก และทัศนคติที่ถูกต้อง

3. บริหารธนาคารความจำด้วย 2 หลักการ

ผู้เขียนเปรียบความคิดเหมือนธนาคารความจำที่เราต้องบริหารอย่างชาญฉลาด:

  1. ฝากเฉพาะความคิดบวก – ทุกคืนก่อนนอนให้คิดถึงเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพื่อฝึกเติมความคิดบวกเข้าไปในธนาคารความจำ หลีกเลี่ยงการฝากความคิดลบเพราะจะกัดกร่อนจิตใจ
  2. ถอนเฉพาะความคิดบวก – ปิดบัญชีความคิดลบให้หมด อย่าให้ความคิดลบมาบ่อนทำลายชีวิต โฟกัสเฉพาะความคิดที่สร้างสรรค์และเป็นบวก

4. เทคนิค 5 ประการในการสร้างความมั่นใจ

  1. นั่งแถวหน้า – ไม่ต้องกลัวการเป็นเป้าสายตา การนั่งแถวหน้าแสดงถึงความมั่นใจและความกล้า
  2. ฝึกสบตา – การสบตาคู่สนทนาแสดงถึงความมั่นใจและสร้างความน่าเชื่อถือ
  3. เดินให้เร็วขึ้น 25% – การยืดไหล่ เงยหน้า และเดินเร็วขึ้นช่วยเสริมสร้างความมั่นใจว่าเรากำลังทำสิ่งสำคัญ
  4. ฝึกพูดแสดงความคิดเห็น – อย่าปฏิเสธการแสดงความเห็นเพียงเพราะไม่มั่นใจ การฝึกพูดออกไปเป็นการฝึกความมั่นใจ
  5. ยิ้มกว้าง – การยิ้มช่วยลดความกังวล สร้างความมั่นใจ และเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับคนรอบข้าง

5. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งต่างๆ

ผู้เขียนแนะนำให้ฝึกคิดเพิ่มมูลค่าอยู่เสมอใน 3 ด้าน:

  1. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งของ – ถามตัวเองว่าจะเพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน ธุรกิจ หรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้อย่างไร
  2. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับผู้คน – พิจารณาว่าจะเพิ่มคุณค่าให้กับลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานได้อย่างไร เพื่อให้ทุกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง – ถามตัวเองทุกวันว่าจะทำอะไรที่เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองได้บ้าง

6. คนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด

ผู้นำในทุกวงการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการขอคำแนะนำมากกว่าการให้คำแนะนำ การฟังอย่างตั้งใจจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับการตัดสินใจ

เทคนิค 3 ข้อในการฟังให้มีประสิทธิภาพ:

  • ส่งเสริมให้คนอื่นพูด เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆ
  • ทดสอบความคิดของตัวเองในรูปแบบคำถาม เพื่อแสดงความเคารพและได้แนวคิดเพิ่มเติม
  • ตั้งใจฟังในสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่แกล้งฟัง

7. สิ่งที่เราคิดกำหนดสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เราทำกำหนดปฏิกิริยาของผู้อื่น

การที่เราจะได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่น ต้องเริ่มจากการนับถือตัวเอง บุคลิกภาพและการปรากฏตัวของเรามาจากความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง

ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่อง “ช่างก่ออิฐ 3 คน” ที่มีมุมมองต่องานต่างกัน:

  • คนแรกตอบว่า “กำลังก่ออิฐ”
  • คนที่สองตอบว่า “ทำงานแลกเงิน 7 บาทต่อชั่วโมง”
  • คนที่สามตอบว่า “กำลังสร้างโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”

ความแตกต่างอยู่ที่การเคารพนับถือตัวเองและงานที่ทำ คนที่เห็นคุณค่าของงานและตัวเองจะได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นในระดับที่สูงกว่าและมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า

8. ทัศนคติ 3 ประการในการทำงานที่ควรปลูกฝัง

  1. จงกระตือรือร้น – ความกระตือรือร้นจะดึงดูดให้คนรอบข้างมีพลังตาม วิธีสร้างความกระตือรือร้นคือ ศึกษาเรื่องที่ทำให้ลึกซึ้ง สร้างความมีชีวิตชีวาในการทักทาย และมองหาข่าวดีในทุกสถานการณ์
  2. เราคือคนสำคัญ – ปลูกฝังความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และปฏิบัติต่อผู้อื่นให้รู้สึกว่าพวกเขาสำคัญด้วย เช่น การขอบคุณ การจดจำชื่อ และการให้เครดิตในความสำเร็จร่วมกัน
  3. บริการเป็นอันดับหนึ่ง – ให้ความสำคัญกับการบริการมาก่อนเรื่องเงิน เพราะการบริการที่ดีจะนำมาซึ่งความสำเร็จทางการเงินในที่สุด

9. ไม่รอให้จิตใจผลักดัน แต่เป็นฝ่ายผลักดันจิตใจตัวเอง

มนุษย์มักหลีกเลี่ยงงานยากหรืองานที่น่าเบื่อ แทนที่จะรอแรงบันดาลใจหรือความรู้สึกอยากทำ ให้ฝึกเป็นเครื่องยนต์อัตโนมัติที่ลงมือทำโดยไม่รอความพร้อมของจิตใจ

เทคนิคที่ใช้ได้ผลคือการเขียนงานลงบนกระดาษ การเขียนจะช่วยบันทึกงานลงในจิตใจและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำก่อนที่ความกลัวหรือความลังเลจะเข้าครอบงำ

10. ความเพียรพยายาม ผสานกับการทดลอง รับประกันความสำเร็จได้

ความพยายามอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องรู้จักทดลองวิธีการใหม่ๆ เหมือนที่เอดิสันทดลองหลายพันครั้งกว่าจะคิดค้นหลอดไฟสำเร็จ

หลักการสำคัญคือ ยึดเป้าหมายให้มั่น แต่ยืดหยุ่นในวิธีการ ทดลองแนวทางใหม่ๆ เมื่อวิธีเดิมไม่ได้ผล และหยุดพักเมื่อเหนื่อยเพื่อรักษาพลังในการเดินต่อ

สรุป

“The Magic of Thinking Big” ถือเป็นหนังสือระดับคลาสสิกที่เน้นการสร้างทัศนคติเชิงบวกและการคิดใหญ่เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต แม้จะเป็นหนังสือที่เขียนมานาน แต่หลักการและแนวคิดยังคงทันสมัยและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย

จุดเด่นของหนังสือคือการนำเสนอเทคนิคที่เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริง มีตัวอย่างประกอบที่ชัดเจน และมีการสรุปเนื้อหาในตอนท้ายของแต่ละบท ทำให้ผู้อ่านสามารถทบทวนและนำไปใช้ได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาค่อนข้างซ้ำและขยายความมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านที่ต้องการเนื้อหากระชับรู้สึกว่ายืดเยื้อเกินไป ส่วนการแปลของ ดร.นิเวศน์ แม้จะสื่อความหมายได้ชัดเจน แต่บางช่วงอาจดูทื่อและขาดความสละสลวยของภาษา

โดยสรุปแล้ว “คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก” เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและวิธีคิดเพื่อยกระดับชีวิตและความสำเร็จให้สูงขึ้น เป็นหนังสือที่ควรอ่านในช่วงวัยหนุ่มสาวหรือก่อนเริ่มทำงาน เพื่อวางรากฐานวิธีคิดที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจในการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต