สรุปรีวิวหนังสือจิตวิทยาสายดาร์ก

จิตวิทยาสายดาร์ก
จิตวิทยาสายดาร์ก

Table of Contents

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ: จิตวิทยาสายดาร์ก (Dark Psychology)

ผู้เขียน: Dr. Hiro

สำนักพิมพ์: WeLearn

ประเภท: จิตวิทยา, การพัฒนาตนเอง, การสื่อสาร

เกี่ยวกับผู้เขียน

Dr. Hiro เป็นอดีตเซลส์แมนชาวญี่ปุ่นที่เคยขายของไม่เป็นในช่วงแรกของการทำงาน แต่หลังจากได้เรียนรู้ทักษะการสื่อสารและจิตวิทยาการโน้มน้าวใจ ทำให้เขากลายเป็นนักขายระดับท็อปที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ปัจจุบันเขามีช่อง YouTube เป็นของตัวเอง และเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดเทคนิคต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มา

เนื้อหาโดยสรุป

หนังสือเล่มนี้นำเสนอเทคนิคการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้อื่น โดยผู้เขียนเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า “การล้างสมอง” แบบไม่มีพิษภัย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้พัฒนาทักษะการสื่อสาร และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้รู้เท่าทันเทคนิคเหล่านี้เมื่อถูกใช้กับตัวเอง

บทที่ 1: แด่คนที่อ่าน “คู่มือการพูด” แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถพูดชักจูงคนได้

บทนี้อธิบายว่าการพูดเก่งไม่ได้เกี่ยวกับไวยากรณ์หรือการใช้ภาษาที่สละสลวย แต่เป็นเรื่องของการสร้าง “ความประทับใจ” ให้กับผู้ฟัง การพูดเก่งคือการพูดให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับหลักการทางภาษามากนัก

บทที่ 2: เคล็ดลับ “วิธีลวงให้คนอื่นยินดีรับฟังเราทุกอย่าง”

บทนี้นำเสนอ “กฎ 55-38-7” หรือ “กฎ Mehrabian” ซึ่งแบ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความประทับใจดังนี้:

  • 55% มาจากการมองเห็น (รูปลักษณ์และภาษากาย)
  • 38% มาจากการได้ยิน (น้ำเสียง)
  • 7% มาจากเนื้อหาคำพูด

นั่นหมายความว่า ภาพลักษณ์และการแสดงออกทางร่างกายมีผลต่อความน่าเชื่อถือมากกว่าสิ่งที่พูดออกมา ผู้เขียนแนะนำให้:

  • ดูแลรูปลักษณ์ภายนอก เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม
  • บำรุงผิวพรรณ
  • ตัดผมให้ดูดี
  • ฝึกกล้ามเนื้อ รักษารูปร่าง
  • เลือกสถานที่พบปะพูดคุยที่เหมาะสม (ร้านที่ดูหรูหรา ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ)

บทที่ 3: เคล็ดลับ “วิธีพูด” ที่ช่วยให้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น

ในบทนี้นำเสนอเทคนิคการทำให้ผู้อื่นชื่นชอบเรา:

  1. การชมเชย: การประจบอย่างมีศิลปะช่วยเปิดใจผู้ฟัง โดยเฉพาะการชมในสิ่งที่มองไม่เห็น (เช่น รสนิยม ความฉลาด) จะมีผลมากกว่าชมในสิ่งที่เห็นได้ (เช่น เสื้อผ้า)
  2. ให้ความสนใจในตัวผู้อื่น: มนุษย์ชอบพูดเรื่องตัวเอง การให้เขาได้พูดและเราแสดงความสนใจอย่างจริงใจ (งานอดิเรก ความชอบ) จะทำให้เขารู้สึกดีกับเรา
  3. เทคนิคการตอบรับคำชม: สร้างความประทับใจด้วยคำตอบที่ไม่คาดคิด เช่น “ขอบคุณนะ แต่งงานกันเลยไหม” (พูดเล่นๆ) หรือ “ดีใจจัง ทำเอาฉันใจเต้นแรงเลย”
  4. หลีกเลี่ยงการโอ้อวดตัวเอง: ไม่ควรแสดงตัวว่าเก่งกว่าอีกฝ่าย แต่ควรชวนให้อีกฝ่ายได้โอ้อวดความสามารถของตัวเอง

บทที่ 4: เคล็ดลับ “วิธีสื่อสาร” ที่ช่วยให้ควบคุมจิตใจคนตามต้องการ

บทนี้เต็มไปด้วยเทคนิคการพูดที่มีประสิทธิภาพ:

  1. การเปรียบเทียบให้เห็นภาพ: ใช้ประโยคเช่น “พูดง่ายๆ ก็คือเหมือน….” ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น
  2. การเรียกชื่อ: ใช้ชื่อคู่สนทนาแทนคำว่า “คุณ” หรือ “พวกคุณ” จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง
  3. พูดแบบคลุมเครือ ไม่ฟันธง: ใช้คำว่า “อาจจะ” “น่าจะ” แทนการพูดเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากผู้ฟัง
  4. การตั้งคำถามและเว้นจังหวะ: ใช้คำถาม “คุณคิดยังไง” เป็นระยะ และเว้นจังหวะเงียบบ้างเพื่อดึงความสนใจผู้ฟัง
  5. พูดประโยคสั้นๆ: ใช้หลัก “One sentence, One message” เพื่อให้เข้าใจง่าย
  6. ไม่ปล่อยของจนหมด: เก็บบางอย่างไว้ในการพบกันครั้งต่อไป เพื่อให้คู่สนทนาอยากพบอีก

บทที่ 5: เคล็ดลับ “วิธีฟัง” ที่ช่วยให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสนทนา

การฟังเป็นทักษะสำคัญของการสนทนา ผู้เขียนแนะนำว่า:

  • ฟังเสมือนกำลังฟังเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก
  • แสดงการตอบรับด้วยการพยักหน้า การตอบรับเสียงสั้นๆ (“อืม” “จริงด้วย” “เข้าใจแล้ว”)
  • ไม่ขัดจังหวะการพูดของอีกฝ่าย
  • หลีกเลี่ยงการพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้น” เพราะอาจทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า

บทที่ 6: เคล็ดลับที่ช่วยให้พูดเก่งระดับสุดยอด

บทนี้เน้นเรื่องภาษากายและการสร้างความน่าเชื่อถือ:

  • ใช้การขยับมือประกอบการพูด
  • แสดงสีหน้าที่เหมาะสม (ยกมุมปาก เลิกคิ้ว) แม้ขณะพูดโทรศัพท์
  • จัดท่านั่งให้ดูผ่อนคลายแต่สง่างาม
  • หลีกเลี่ยงการกอดอก ซึ่งแสดงถึงการปิดกั้น
  • ใช้เทคนิค “กระจกเงา” (Mirror Effect) คือการเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายเพื่อสร้างความรู้สึกคุ้นเคย
  • เทคนิคลดความตื่นเต้น: ปรับท่าทางให้ผ่อนคลาย หายใจลึกๆ เคลื่อนไหวช้าๆ

บทที่ 7: ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันทรงพลังที่ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิดเด็ดขาด

บทนี้อธิบายปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ:

  1. Pacing: การปรับจังหวะและน้ำเสียงให้เข้ากับคู่สนทนา
  2. Anchoring Effect: ตัวเลขหรือเงื่อนไขแรกมีผลต่อการตัดสินใจ เช่น บอกว่าสินค้าลดจาก 30,000 เหลือ 10,000 จะดูน่าสนใจกว่าขายแค่ 10,000
  3. Diderot Effect: เมื่อซื้อของชิ้นแรกแล้ว จะมีแนวโน้มซื้อของที่เข้าชุดกัน
  4. Scarcity Effect: ของหายากดูมีค่ามากกว่า (“สินค้ามีจำกัด” “เฉพาะวันนี้เท่านั้น”)
  5. Reframing: การเปลี่ยนมุมมอง เช่น จาก “น้ำเหลือครึ่งแก้ว” เป็น “มีน้ำตั้งครึ่งแก้ว”

ผู้เขียนยังเตือนถึงปรากฏการณ์ที่ต้องระวัง:

  1. Boomerang Effect: การยัดเยียดหรือจงใจเกินไปทำให้เกิดผลตรงข้าม
  2. Undermining Effect: การให้รางวัลกับสิ่งที่คนทำด้วยความชอบอยู่แล้ว อาจทำให้แรงจูงใจภายในลดลง
  3. Norm of Reciprocity: การตอบแทนซึ่งกันและกัน เช่น เลี้ยงข้าวก่อนชวนทำธุรกิจ อาจทำให้คู่สนทนารู้สึกว่ามาเพราะอาหารฟรี

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือ

  1. การพัฒนาทักษะการสื่อสาร: หนังสือช่วยให้เข้าใจว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เกี่ยวกับคำพูดสวยหรูเท่านั้น แต่เป็นเรื่องภาพรวมทั้งภาษากาย น้ำเสียง และการสร้างความประทับใจ
  2. การรู้เท่าทันเทคนิคโน้มน้าวใจ: ช่วยให้ผู้อ่านรู้เท่าทันเมื่อมีคนใช้เทคนิคเหล่านี้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการโน้มน้าวใจในรูปแบบต่างๆ
  3. เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์: การชมเชย การรับฟัง การใส่ใจคู่สนทนา ล้วนเป็นทักษะที่มีประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ทั้งในเชิงธุรกิจและส่วนตัว

สรุป

หนังสือ “จิตวิทยาสายดาร์ก” นำเสนอเทคนิคการสื่อสารที่น่าสนใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เนื้อหากระชับ อ่านง่าย และมีตัวอย่างประกอบชัดเจน ชื่อหนังสืออาจฟังดู “ดาร์ก” แต่เนื้อหาจริงๆ แล้วเป็นการสอนเทคนิคการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

จุดเด่นของหนังสือคือการเน้นย้ำว่าการสื่อสารเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการสร้างความประทับใจผ่านภาษากายและน้ำเสียง มากกว่าตัวเนื้อหาคำพูดเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม การนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ควรอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจและจริยธรรม การใช้เพื่อหลอกลวงหรือเอาเปรียบผู้อื่นย่อมไม่เป็นผลดีในระยะยาว

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสาร การขาย การนำเสนอ หรือแม้แต่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น รวมถึงผู้ที่ต้องการรู้เท่าทันเทคนิคการตลาดและการขายในปัจจุบัน