MACD Book

Elliott Wave คืออะไร ใช้ได้จริงไหม

Elliott Wave คืออะไร

ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave คือหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้นและตลาด Forex ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยมีแนวคิดหลักว่าราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่คาดการณ์ได้และเป็นวงจร

หลักการพื้นฐานของทฤษฎีคลื่น Elliott Wave

ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าพฤติกรรมของมนุษย์มีลักษณะเป็นวงจรและสามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน ทฤษฎีนี้เสนอว่าราคาเคลื่อนที่เป็นรูปแบบคลื่น โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:

Elliott Wave Theory
Elliott Wave Theory
  1. คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves): เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
  2. คลื่นแก้ไข (Corrective Waves): เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก

1. คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves)

คลื่นแนวโน้มเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด มีลักษณะสำคัญดังนี้:

Impulse Wave
Impulse Wave
  • ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (ลูกคลื่น 1, 2, 3, 4, และ 5)
  • คลื่นที่ 1, 3, และ 5 เคลื่อนที่ไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก
  • คลื่นที่ 2 และ 4 เป็นการพักตัวหรือถดถอยชั่วคราว แต่ไม่กลับทิศทางของแนวโน้มหลัก
  • คลื่นที่ 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและแรงที่สุด
  • คลื่นที่ 5 อาจจะแสดงสัญญาณของการอ่อนแรงลง เมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3

ลักษณะพิเศษของคลื่นแนวโน้ม:

  • มีแรงขับเคลื่อนสูง แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทิศทางของตลาด
  • มักจะมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในคลื่นที่ 3
  • สามารถเกิดการขยายตัว (Extension) ในคลื่นใดคลื่นหนึ่ง โดยมักพบในคลื่นที่ 3

การใช้ประโยชน์จากคลื่นแนวโน้ม:

  • นักลงทุนมักใช้คลื่นที่ 3 เป็นโอกาสในการทำกำไรมากที่สุด เนื่องจากมีความชัดเจนและแรงที่สุด
  • การระบุจุดสิ้นสุดของคลื่นที่ 5 เป็นสัญญาณที่สำคัญในการเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม

2. คลื่นแก้ไข (Corrective Waves)

คลื่นแก้ไขเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก มีลักษณะสำคัญดังนี้:

Corrective Wave
Corrective Wave
  • มักประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (ลูกคลื่น A, B, และ C)
  • คลื่น A และ C เคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลัก
  • คลื่น B เป็นการดีดตัวกลับชั่วคราวไปในทิศทางของแนวโน้มหลักเดิม
  • มีความซับซ้อนมากกว่าคลื่นแนวโน้ม และมีรูปแบบที่หลากหลาย

รูปแบบของคลื่นแก้ไข:

  1. Zigzag: ประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A-B-C) โดย A และ C เป็นคลื่นแนวโน้ม และ B เป็นคลื่นแก้ไข
  2. Flat: ประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A-B-C) โดยทั้ง 3 คลื่นมีลักษณะเป็นคลื่นแก้ไข
  3. Triangle: ประกอบด้วยคลื่น 5 ลูก (A-B-C-D-E) ที่เคลื่อนที่ในลักษณะแคบลงเรื่อยๆ
  4. Combination: เป็นการรวมกันของรูปแบบ Zigzag, Flat หรือ Triangle

ลักษณะพิเศษของคลื่นแก้ไข:

  • มักจะมีระยะเวลาสั้นกว่าและมีความผันผวนมากกว่าคลื่นแนวโน้ม
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume) มักจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงคลื่นแนวโน้ม
  • มีความซับซ้อนและคาดเดาได้ยากกว่าคลื่นแนวโน้ม

การใช้ประโยชน์จากคลื่นแก้ไข:

  • นักลงทุนระยะสั้นอาจใช้จังหวะของคลื่นแก้ไขในการเข้าซื้อหรือขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น
  • การระบุจุดสิ้นสุดของคลื่นแก้ไขเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าลงทุนตามแนวโน้มหลัก

ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นแนวโน้มและคลื่นแก้ไข:

  • คลื่นแนวโน้มและคลื่นแก้ไขมักจะเกิดสลับกันเป็นวงจร
  • การเข้าใจความสัมพันธ์และลำดับของคลื่นทั้งสองประเภทช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
  • ความสมดุลระหว่างคลื่นทั้งสองประเภทสะท้อนถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ระหว่างช่วงที่มีความเชื่อมั่นสูง (คลื่นแนวโน้ม) และช่วงที่มีความไม่แน่นอนหรือการปรับฐาน (คลื่นแก้ไข)

การนำไปประยุกต์ใช้:

  • นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้การระบุคลื่นทั้งสองประเภทเพื่อประเมินจุดเข้าซื้อ-ขายที่เหมาะสม
  • การเข้าใจว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงคลื่นแนวโน้มหรือคลื่นแก้ไขช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
  • การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์

ข้อควรระวัง:

  • การระบุประเภทและตำแหน่งของคลื่นอาจมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
  • ตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป จึงควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบ
  • ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนในการใช้ทฤษฎีนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

รูปแบบคลื่นพื้นฐาน

ตามทฤษฎีของ Elliott แนวโน้มหลักประกอบด้วยคลื่น 5 ลูก โดยคลื่นที่ 1, 3 และ 5 เป็นคลื่นแนวโน้ม ส่วนคลื่นที่ 2 และ 4 เป็นคลื่นแก้ไข หลังจากคลื่น 5 ลูกนี้ จะเกิดการแก้ไขในทิศทางตรงกันข้ามซึ่งประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A, B และ C) รวมเป็นรูปแบบคลื่นพื้นฐาน 8 ลูก

รายละเอียดของแต่ละคลื่นในรูปแบบพื้นฐาน:

  1. คลื่นที่ 1: เป็นคลื่นแนวโน้มเริ่มต้น มักจะไม่ชัดเจนนักเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในทิศทางใหม่
  2. คลื่นที่ 2: เป็นคลื่นแก้ไขแรก มักจะย้อนกลับไปประมาณ 50-61.8% ของคลื่นที่ 1
  3. คลื่นที่ 3: เป็นคลื่นแนวโน้มที่แรงที่สุด มักจะยาวกว่าคลื่นที่ 1 และมีปริมาณการซื้อขายสูง
  4. คลื่นที่ 4: เป็นคลื่นแก้ไขที่สอง มักจะอ่อนแรงกว่าคลื่นที่ 2 และมีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า
  5. คลื่นที่ 5: เป็นคลื่นแนวโน้มสุดท้าย อาจจะแรงพอๆ กับคลื่นที่ 3 หรืออ่อนแรงลง
  6. คลื่น A: เป็นคลื่นแก้ไขแรกหลังจบคลื่น 5 ลูก มักจะแรงและชัดเจน
  7. คลื่น B: เป็นคลื่นแก้ไขที่ดีดกลับขึ้นไปในทิศทางของคลื่น 5 ลูกก่อนหน้า
  8. คลื่น C: เป็นคลื่นแก้ไขสุดท้าย มักจะแรงและยาวกว่าคลื่น A

ลักษณะของคลื่นแต่ละประเภท

1. คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves):

  • มักจะยาวกว่าและแรงกว่าคลื่นแก้ไข
    • คลื่นแนวโน้มมักจะใช้เวลานานกว่าในการก่อตัวและเคลื่อนที่
    • มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนและมีทิศทางที่แน่นอน
  • คลื่นที่ 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและแรงที่สุด
    • คลื่นที่ 3 มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
    • อาจมีการ “ขยายตัว” (Extension) ซึ่งทำให้คลื่นที่ 3 ยาวกว่าปกติมาก
  • คลื่นที่ 5 อาจจะอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3
    • อาจเกิด “การลู่เข้า” (Convergence) ซึ่งแสดงถึงการอ่อนแรงลงของแนวโน้ม
    • อาจมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3

2. คลื่นแก้ไข (Corrective Waves):

  • มักจะสั้นกว่าและอ่อนแรงกว่าคลื่นแนวโน้ม
    • คลื่นแก้ไขมักจะใช้เวลาน้อยกว่าในการก่อตัวและเคลื่อนที่
    • การเคลื่อนไหวของราคามักจะมีความผันผวนมากกว่าและไม่ชัดเจนเท่าคลื่นแนวโน้ม
  • มีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าและคาดเดาได้ยากกว่า
    • คลื่นแก้ไขอาจมีรูปแบบที่หลากหลายและไม่เป็นไปตามแบบแผนที่ชัดเจน
    • อาจมีการซ้อนทับกันของรูปแบบต่างๆ ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์
  • อาจเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ เช่น Zigzag, Flat, Triangle
zigzag elliott wave
zigzag elliott wave

 

    1. Zigzag:
      • ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (A-B-C)
      • คลื่น A และ C เป็นคลื่นแนวโน้ม ส่วนคลื่น B เป็นคลื่นแก้ไข
      • มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและแรง
      • พบบ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูง
    2. Flat:
      • ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (A-B-C)
      • ทั้งคลื่น A, B, และ C มีลักษณะเป็นคลื่นแก้ไข
      • มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาในแนวราบหรือมีความลาดชันน้อย
      • พบบ่อยในตลาดที่มีแนวโน้มอ่อนแรงหรือไม่ชัดเจน
    3. Triangle:
      • ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (A-B-C-D-E)
      • มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แคบลงเรื่อยๆ
      • แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น Symmetrical, Ascending, Descending, Expanding
      • มักเกิดขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของแนวโน้มหลัก
    4. Complex Corrections:
      • เป็นการรวมกันของรูปแบบ Zigzag, Flat, หรือ Triangle
      • อาจประกอบด้วยหลายรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วย “คลื่นเชื่อม” (X Wave)
      • มีความซับซ้อนสูงและยากต่อการวิเคราะห์
      • พบได้บ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูงหรือไม่มีทิศทางที่ชัดเจน

การเข้าใจลักษณะและรูปแบบของคลื่นแต่ละประเภทช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถ:

  • ระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่มีโอกาสทำกำไรสูง
  • ประเมินความเสี่ยงและกำหนดจุด Stop Loss ได้อย่างเหมาะสม
  • คาดการณ์ทิศทางของตลาดในระยะต่อไปได้แม่นยำขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนอย่างมาก เนื่องจากการตีความรูปแบบคลื่นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป

 

การนับคลื่นและการระบุตำแหน่ง

การนับคลื่นเป็นส่วนสำคัญของการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีคลื่น Elliott Wave โดยนักวิเคราะห์จะใช้ตัวเลขและตัวอักษรในการระบุตำแหน่งของคลื่นแต่ละลูก:

  • คลื่นแนวโน้ม: ใช้ตัวเลข 1, 2, 3, 4, 5
  • คลื่นแก้ไข: ใช้ตัวอักษร A, B, C

นอกจากนี้ ยังมีการใช้วงเล็บเพื่อแสดงระดับของคลื่น เช่น (1), ((1)), (((1))) เพื่อบ่งบอกว่าคลื่นนั้นอยู่ในระดับไหนของภาพใหญ่

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนับคลื่นและการระบุตำแหน่ง

Elliott Wave Count
Elliott Wave Count
  1. ระบบการนับคลื่น:
    • คลื่นแนวโน้ม (1-2-3-4-5):
      • ใช้ตัวเลขอารบิกเพื่อระบุคลื่นแนวโน้มหลัก
      • คลื่น 1, 3, 5 เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางของแนวโน้มหลัก
      • คลื่น 2, 4 เป็นคลื่นแก้ไขในทิศทางตรงกันข้าม
    • คลื่นแก้ไข (A-B-C):
      • ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่เพื่อระบุคลื่นแก้ไข
      • คลื่น A และ C มักจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
      • คลื่น B เป็นการดีดตัวกลับชั่วคราวไปในทิศทางของแนวโน้มหลักเดิม
  2. การใช้วงเล็บเพื่อแสดงระดับของคลื่น:
    • วงเล็บชั้นเดียว (1): แสดงคลื่นในระดับ Intermediate
    • วงเล็บสองชั้น ((1)): แสดงคลื่นในระดับ Minor
    • วงเล็บสามชั้น (((1))): แสดงคลื่นในระดับ Minute
    • ไม่มีวงเล็บ 1: แสดงคลื่นในระดับ Primary หรือสูงกว่า
  3. ลำดับของระดับคลื่น (จากใหญ่ไปเล็ก):
    • Grand Supercycle
    • Supercycle
    • Cycle
    • Primary
    • Intermediate
    • Minor
    • Minute
    • Minuette
    • Subminuette
  4. การนับคลื่นในรูปแบบที่ซับซ้อน:
    • คลื่นซ้อน (Nested Waves): คลื่นที่อยู่ภายในคลื่นใหญ่กว่า เช่น คลื่น 1 ของคลื่น 3 ใหญ่
    • คลื่นเชื่อม (X Waves): ใช้ตัวอักษร X เพื่อแสดงคลื่นที่เชื่อมระหว่างรูปแบบคลื่นแก้ไขที่ซับซ้อน
  5. เทคนิคการนับคลื่น:
    • การนับจากบนลงล่าง (Top-down Approach): เริ่มจากการระบุคลื่นในระดับใหญ่ที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ แยกย่อยลงมา
    • การนับจากล่างขึ้นบน (Bottom-up Approach): เริ่มจากการระบุคลื่นในระดับเล็กที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ รวมเป็นคลื่นใหญ่ขึ้น
  6. ความสำคัญของการนับคลื่น:
    • ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคต
    • ช่วยในการระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่เหมาะสม
    • ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและกำหนดจุด Stop Loss
  7. ข้อควรระวังในการนับคลื่น:
    • การนับคลื่นอาจมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
    • อาจมีการปรับเปลี่ยนการนับคลื่นเมื่อมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติม
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันการวิเคราะห์
  8. เครื่องมือช่วยในการนับคลื่น:
    • ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีฟังก์ชันการนับคลื่น Elliott Wave
    • เครื่องมือวาดเส้นแนวโน้มและ Fibonacci Retracements
    • ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อยืนยันจุดกลับตัวของคลื่น เช่น RSI, MACD
  9. การประยุกต์ใช้การนับคลื่นในการวิเคราะห์:
    • การคาดการณ์จุดสิ้นสุดของคลื่นปัจจุบัน
    • การประเมินโอกาสในการเกิด Extension หรือ Truncation ของคลื่น
    • การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นในระดับต่างๆ
  10. การพัฒนาทักษะการนับคลื่น:
    • ฝึกฝนการนับคลื่นบนกราฟย้อนหลังเพื่อเพิ่มประสบการณ์
    • ศึกษากรณีตัวอย่างของการนับคลื่นในตลาดจริง
    • เข้าร่วมชุมชนหรือเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการวิเคราะห์ Elliott Wave

 Elliott Wave ใช้ได้จริงไหม

ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับทั้งการยอมรับและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง การพิจารณาว่าทฤษฎีนี้ “ใช้ได้จริง” หรือไม่นั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง:

elliott Wave ใช้ได้จริงไหม
elliott Wave ใช้ได้จริงไหม

ข้อดีและการสนับสนุน:

  1. กรอบการวิเคราะห์ที่ครอบคลุม:
    • ทฤษฎีนี้ให้กรอบการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน
    • ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้
  2. ความยืดหยุ่นในการประยุกต์ใช้:
    • สามารถใช้ได้กับทุกตลาดและทุกกรอบเวลา
    • เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
  3. การผสมผสานกับเครื่องมืออื่น:
    • สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
    • ช่วยในการยืนยันสัญญาณจากเครื่องมืออื่น
  4. ผู้ใช้ที่ประสบความสำเร็จ:
    • มีนักลงทุนและเทรดเดอร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ทฤษฎีนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุน

ข้อจำกัดและการวิจารณ์:

  1. ความซับซ้อนในการตีความ:
    • การระบุและนับคลื่นมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
    • นักวิเคราะห์ต่างคนอาจมีการนับคลื่นที่แตกต่างกันสำหรับกราฟเดียวกัน
  2. การขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน:
    • ยังไม่มีการศึกษาทางวิชาการที่ยืนยันประสิทธิภาพของทฤษฎีนี้อย่างชัดเจน
    • บางคนมองว่าเป็นเพียง “การมองเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริง” (Apophenia)
  3. ความยากในการคาดการณ์ล่วงหน้า:
    • แม้จะสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวในอดีตได้ดี แต่การคาดการณ์อนาคตอย่างแม่นยำยังคงเป็นความท้าทาย
    • ตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป
  4. ความเสี่ยงจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม:
    • การยึดติดกับการวิเคราะห์มากเกินไปอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
    • ผู้ที่ขาดประสบการณ์อาจตีความผิดพลาดและเสียหายได้

มุมมองที่สมดุล:

  1. เครื่องมือเสริม ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด:
    • ควรใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือวิเคราะห์ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือเดียว
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ
  2. ต้องการการฝึกฝนและประสบการณ์:
    • การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์อย่างมาก
    • ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังขาดความเข้าใจในตลาด
  3. ประโยชน์ในการมองภาพรวม:
    • แม้จะไม่สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำ 100% แต่ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของตลาดได้ดีขึ้น
    • เป็นประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว
  4. การปรับใช้อย่างยืดหยุ่น:
    • ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบคลื่นมากเกินไป ควรพร้อมปรับเปลี่ยนการวิเคราะห์เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
    • ใช้เป็นแนวทางในการตั้งสมมติฐาน แต่ต้องพร้อมยอมรับเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

สรุปแล้ว ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ตลาดการเงิน แต่ไม่ใช่ “เครื่องมือวิเศษ” ที่สามารถทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำเสมอไป การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝน ประสบการณ์ และการใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ อย่างเหมาะสม

MACD Book