Elliott Wave คืออะไร
ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave คือหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้นและตลาด Forex ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยมีแนวคิดหลักว่าราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่คาดการณ์ได้และเป็นวงจร
หลักการพื้นฐานของทฤษฎีคลื่น Elliott Wave
ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าพฤติกรรมของมนุษย์มีลักษณะเป็นวงจรและสามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน ทฤษฎีนี้เสนอว่าราคาเคลื่อนที่เป็นรูปแบบคลื่น โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:

- คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves): เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
- คลื่นแก้ไข (Corrective Waves): เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
1. คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves)
คลื่นแนวโน้มเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด มีลักษณะสำคัญดังนี้:

- ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (ลูกคลื่น 1, 2, 3, 4, และ 5)
- คลื่นที่ 1, 3, และ 5 เคลื่อนที่ไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก
- คลื่นที่ 2 และ 4 เป็นการพักตัวหรือถดถอยชั่วคราว แต่ไม่กลับทิศทางของแนวโน้มหลัก
- คลื่นที่ 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและแรงที่สุด
- คลื่นที่ 5 อาจจะแสดงสัญญาณของการอ่อนแรงลง เมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3
ลักษณะพิเศษของคลื่นแนวโน้ม:
- มีแรงขับเคลื่อนสูง แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทิศทางของตลาด
- มักจะมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในคลื่นที่ 3
- สามารถเกิดการขยายตัว (Extension) ในคลื่นใดคลื่นหนึ่ง โดยมักพบในคลื่นที่ 3
การใช้ประโยชน์จากคลื่นแนวโน้ม:
- นักลงทุนมักใช้คลื่นที่ 3 เป็นโอกาสในการทำกำไรมากที่สุด เนื่องจากมีความชัดเจนและแรงที่สุด
- การระบุจุดสิ้นสุดของคลื่นที่ 5 เป็นสัญญาณที่สำคัญในการเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
2. คลื่นแก้ไข (Corrective Waves)
คลื่นแก้ไขเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก มีลักษณะสำคัญดังนี้:

- มักประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (ลูกคลื่น A, B, และ C)
- คลื่น A และ C เคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลัก
- คลื่น B เป็นการดีดตัวกลับชั่วคราวไปในทิศทางของแนวโน้มหลักเดิม
- มีความซับซ้อนมากกว่าคลื่นแนวโน้ม และมีรูปแบบที่หลากหลาย
รูปแบบของคลื่นแก้ไข:
- Zigzag: ประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A-B-C) โดย A และ C เป็นคลื่นแนวโน้ม และ B เป็นคลื่นแก้ไข
- Flat: ประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A-B-C) โดยทั้ง 3 คลื่นมีลักษณะเป็นคลื่นแก้ไข
- Triangle: ประกอบด้วยคลื่น 5 ลูก (A-B-C-D-E) ที่เคลื่อนที่ในลักษณะแคบลงเรื่อยๆ
- Combination: เป็นการรวมกันของรูปแบบ Zigzag, Flat หรือ Triangle
ลักษณะพิเศษของคลื่นแก้ไข:
- มักจะมีระยะเวลาสั้นกว่าและมีความผันผวนมากกว่าคลื่นแนวโน้ม
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume) มักจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงคลื่นแนวโน้ม
- มีความซับซ้อนและคาดเดาได้ยากกว่าคลื่นแนวโน้ม
การใช้ประโยชน์จากคลื่นแก้ไข:
- นักลงทุนระยะสั้นอาจใช้จังหวะของคลื่นแก้ไขในการเข้าซื้อหรือขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น
- การระบุจุดสิ้นสุดของคลื่นแก้ไขเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าลงทุนตามแนวโน้มหลัก
ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นแนวโน้มและคลื่นแก้ไข:
- คลื่นแนวโน้มและคลื่นแก้ไขมักจะเกิดสลับกันเป็นวงจร
- การเข้าใจความสัมพันธ์และลำดับของคลื่นทั้งสองประเภทช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
- ความสมดุลระหว่างคลื่นทั้งสองประเภทสะท้อนถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ระหว่างช่วงที่มีความเชื่อมั่นสูง (คลื่นแนวโน้ม) และช่วงที่มีความไม่แน่นอนหรือการปรับฐาน (คลื่นแก้ไข)
การนำไปประยุกต์ใช้:
- นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้การระบุคลื่นทั้งสองประเภทเพื่อประเมินจุดเข้าซื้อ-ขายที่เหมาะสม
- การเข้าใจว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงคลื่นแนวโน้มหรือคลื่นแก้ไขช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
- การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์
ข้อควรระวัง:
- การระบุประเภทและตำแหน่งของคลื่นอาจมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
- ตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป จึงควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบ
- ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนในการใช้ทฤษฎีนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปแบบคลื่นพื้นฐาน
ตามทฤษฎีของ Elliott แนวโน้มหลักประกอบด้วยคลื่น 5 ลูก โดยคลื่นที่ 1, 3 และ 5 เป็นคลื่นแนวโน้ม ส่วนคลื่นที่ 2 และ 4 เป็นคลื่นแก้ไข หลังจากคลื่น 5 ลูกนี้ จะเกิดการแก้ไขในทิศทางตรงกันข้ามซึ่งประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก (A, B และ C) รวมเป็นรูปแบบคลื่นพื้นฐาน 8 ลูก
รายละเอียดของแต่ละคลื่นในรูปแบบพื้นฐาน:
- คลื่นที่ 1: เป็นคลื่นแนวโน้มเริ่มต้น มักจะไม่ชัดเจนนักเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในทิศทางใหม่
- คลื่นที่ 2: เป็นคลื่นแก้ไขแรก มักจะย้อนกลับไปประมาณ 50-61.8% ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 3: เป็นคลื่นแนวโน้มที่แรงที่สุด มักจะยาวกว่าคลื่นที่ 1 และมีปริมาณการซื้อขายสูง
- คลื่นที่ 4: เป็นคลื่นแก้ไขที่สอง มักจะอ่อนแรงกว่าคลื่นที่ 2 และมีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า
- คลื่นที่ 5: เป็นคลื่นแนวโน้มสุดท้าย อาจจะแรงพอๆ กับคลื่นที่ 3 หรืออ่อนแรงลง
- คลื่น A: เป็นคลื่นแก้ไขแรกหลังจบคลื่น 5 ลูก มักจะแรงและชัดเจน
- คลื่น B: เป็นคลื่นแก้ไขที่ดีดกลับขึ้นไปในทิศทางของคลื่น 5 ลูกก่อนหน้า
- คลื่น C: เป็นคลื่นแก้ไขสุดท้าย มักจะแรงและยาวกว่าคลื่น A
ลักษณะของคลื่นแต่ละประเภท
1. คลื่นแนวโน้ม (Impulse Waves):
- มักจะยาวกว่าและแรงกว่าคลื่นแก้ไข
- คลื่นแนวโน้มมักจะใช้เวลานานกว่าในการก่อตัวและเคลื่อนที่
- มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนและมีทิศทางที่แน่นอน
- คลื่นที่ 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและแรงที่สุด
- คลื่นที่ 3 มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
- อาจมีการ “ขยายตัว” (Extension) ซึ่งทำให้คลื่นที่ 3 ยาวกว่าปกติมาก
- คลื่นที่ 5 อาจจะอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3
- อาจเกิด “การลู่เข้า” (Convergence) ซึ่งแสดงถึงการอ่อนแรงลงของแนวโน้ม
- อาจมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับคลื่นที่ 3
2. คลื่นแก้ไข (Corrective Waves):
- มักจะสั้นกว่าและอ่อนแรงกว่าคลื่นแนวโน้ม
- คลื่นแก้ไขมักจะใช้เวลาน้อยกว่าในการก่อตัวและเคลื่อนที่
- การเคลื่อนไหวของราคามักจะมีความผันผวนมากกว่าและไม่ชัดเจนเท่าคลื่นแนวโน้ม
- มีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าและคาดเดาได้ยากกว่า
- คลื่นแก้ไขอาจมีรูปแบบที่หลากหลายและไม่เป็นไปตามแบบแผนที่ชัดเจน
- อาจมีการซ้อนทับกันของรูปแบบต่างๆ ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์
- อาจเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ เช่น Zigzag, Flat, Triangle

-
- Zigzag:
- ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (A-B-C)
- คลื่น A และ C เป็นคลื่นแนวโน้ม ส่วนคลื่น B เป็นคลื่นแก้ไข
- มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและแรง
- พบบ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูง
- Flat:
- ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (A-B-C)
- ทั้งคลื่น A, B, และ C มีลักษณะเป็นคลื่นแก้ไข
- มักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาในแนวราบหรือมีความลาดชันน้อย
- พบบ่อยในตลาดที่มีแนวโน้มอ่อนแรงหรือไม่ชัดเจน
- Triangle:
- ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (A-B-C-D-E)
- มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แคบลงเรื่อยๆ
- แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น Symmetrical, Ascending, Descending, Expanding
- มักเกิดขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของแนวโน้มหลัก
- Complex Corrections:
- เป็นการรวมกันของรูปแบบ Zigzag, Flat, หรือ Triangle
- อาจประกอบด้วยหลายรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วย “คลื่นเชื่อม” (X Wave)
- มีความซับซ้อนสูงและยากต่อการวิเคราะห์
- พบได้บ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูงหรือไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
- Zigzag:
การเข้าใจลักษณะและรูปแบบของคลื่นแต่ละประเภทช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถ:
- ระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่มีโอกาสทำกำไรสูง
- ประเมินความเสี่ยงและกำหนดจุด Stop Loss ได้อย่างเหมาะสม
- คาดการณ์ทิศทางของตลาดในระยะต่อไปได้แม่นยำขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนอย่างมาก เนื่องจากการตีความรูปแบบคลื่นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป
การนับคลื่นและการระบุตำแหน่ง
การนับคลื่นเป็นส่วนสำคัญของการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีคลื่น Elliott Wave โดยนักวิเคราะห์จะใช้ตัวเลขและตัวอักษรในการระบุตำแหน่งของคลื่นแต่ละลูก:
- คลื่นแนวโน้ม: ใช้ตัวเลข 1, 2, 3, 4, 5
- คลื่นแก้ไข: ใช้ตัวอักษร A, B, C
นอกจากนี้ ยังมีการใช้วงเล็บเพื่อแสดงระดับของคลื่น เช่น (1), ((1)), (((1))) เพื่อบ่งบอกว่าคลื่นนั้นอยู่ในระดับไหนของภาพใหญ่
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนับคลื่นและการระบุตำแหน่ง

- ระบบการนับคลื่น:
- คลื่นแนวโน้ม (1-2-3-4-5):
- ใช้ตัวเลขอารบิกเพื่อระบุคลื่นแนวโน้มหลัก
- คลื่น 1, 3, 5 เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางของแนวโน้มหลัก
- คลื่น 2, 4 เป็นคลื่นแก้ไขในทิศทางตรงกันข้าม
- คลื่นแก้ไข (A-B-C):
- ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่เพื่อระบุคลื่นแก้ไข
- คลื่น A และ C มักจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
- คลื่น B เป็นการดีดตัวกลับชั่วคราวไปในทิศทางของแนวโน้มหลักเดิม
- คลื่นแนวโน้ม (1-2-3-4-5):
- การใช้วงเล็บเพื่อแสดงระดับของคลื่น:
- วงเล็บชั้นเดียว (1): แสดงคลื่นในระดับ Intermediate
- วงเล็บสองชั้น ((1)): แสดงคลื่นในระดับ Minor
- วงเล็บสามชั้น (((1))): แสดงคลื่นในระดับ Minute
- ไม่มีวงเล็บ 1: แสดงคลื่นในระดับ Primary หรือสูงกว่า
- ลำดับของระดับคลื่น (จากใหญ่ไปเล็ก):
- Grand Supercycle
- Supercycle
- Cycle
- Primary
- Intermediate
- Minor
- Minute
- Minuette
- Subminuette
- การนับคลื่นในรูปแบบที่ซับซ้อน:
- คลื่นซ้อน (Nested Waves): คลื่นที่อยู่ภายในคลื่นใหญ่กว่า เช่น คลื่น 1 ของคลื่น 3 ใหญ่
- คลื่นเชื่อม (X Waves): ใช้ตัวอักษร X เพื่อแสดงคลื่นที่เชื่อมระหว่างรูปแบบคลื่นแก้ไขที่ซับซ้อน
- เทคนิคการนับคลื่น:
- การนับจากบนลงล่าง (Top-down Approach): เริ่มจากการระบุคลื่นในระดับใหญ่ที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ แยกย่อยลงมา
- การนับจากล่างขึ้นบน (Bottom-up Approach): เริ่มจากการระบุคลื่นในระดับเล็กที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ รวมเป็นคลื่นใหญ่ขึ้น
- ความสำคัญของการนับคลื่น:
- ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคต
- ช่วยในการระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่เหมาะสม
- ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและกำหนดจุด Stop Loss
- ข้อควรระวังในการนับคลื่น:
- การนับคลื่นอาจมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
- อาจมีการปรับเปลี่ยนการนับคลื่นเมื่อมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติม
- ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันการวิเคราะห์
- เครื่องมือช่วยในการนับคลื่น:
- ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีฟังก์ชันการนับคลื่น Elliott Wave
- เครื่องมือวาดเส้นแนวโน้มและ Fibonacci Retracements
- ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อยืนยันจุดกลับตัวของคลื่น เช่น RSI, MACD
- การประยุกต์ใช้การนับคลื่นในการวิเคราะห์:
- การคาดการณ์จุดสิ้นสุดของคลื่นปัจจุบัน
- การประเมินโอกาสในการเกิด Extension หรือ Truncation ของคลื่น
- การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นในระดับต่างๆ
- การพัฒนาทักษะการนับคลื่น:
- ฝึกฝนการนับคลื่นบนกราฟย้อนหลังเพื่อเพิ่มประสบการณ์
- ศึกษากรณีตัวอย่างของการนับคลื่นในตลาดจริง
- เข้าร่วมชุมชนหรือเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการวิเคราะห์ Elliott Wave
Elliott Wave ใช้ได้จริงไหม
ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับทั้งการยอมรับและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง การพิจารณาว่าทฤษฎีนี้ “ใช้ได้จริง” หรือไม่นั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง:

ข้อดีและการสนับสนุน:
- กรอบการวิเคราะห์ที่ครอบคลุม:
- ทฤษฎีนี้ให้กรอบการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน
- ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้
- ความยืดหยุ่นในการประยุกต์ใช้:
- สามารถใช้ได้กับทุกตลาดและทุกกรอบเวลา
- เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- การผสมผสานกับเครื่องมืออื่น:
- สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- ช่วยในการยืนยันสัญญาณจากเครื่องมืออื่น
- ผู้ใช้ที่ประสบความสำเร็จ:
- มีนักลงทุนและเทรดเดอร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ทฤษฎีนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุน
ข้อจำกัดและการวิจารณ์:
- ความซับซ้อนในการตีความ:
- การระบุและนับคลื่นมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความส่วนบุคคล
- นักวิเคราะห์ต่างคนอาจมีการนับคลื่นที่แตกต่างกันสำหรับกราฟเดียวกัน
- การขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน:
- ยังไม่มีการศึกษาทางวิชาการที่ยืนยันประสิทธิภาพของทฤษฎีนี้อย่างชัดเจน
- บางคนมองว่าเป็นเพียง “การมองเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริง” (Apophenia)
- ความยากในการคาดการณ์ล่วงหน้า:
- แม้จะสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวในอดีตได้ดี แต่การคาดการณ์อนาคตอย่างแม่นยำยังคงเป็นความท้าทาย
- ตลาดอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่คาดการณ์ไว้เสมอไป
- ความเสี่ยงจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม:
- การยึดติดกับการวิเคราะห์มากเกินไปอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
- ผู้ที่ขาดประสบการณ์อาจตีความผิดพลาดและเสียหายได้
มุมมองที่สมดุล:
- เครื่องมือเสริม ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด:
- ควรใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือวิเคราะห์ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือเดียว
- ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ
- ต้องการการฝึกฝนและประสบการณ์:
- การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์อย่างมาก
- ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังขาดความเข้าใจในตลาด
- ประโยชน์ในการมองภาพรวม:
- แม้จะไม่สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำ 100% แต่ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของตลาดได้ดีขึ้น
- เป็นประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว
- การปรับใช้อย่างยืดหยุ่น:
- ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบคลื่นมากเกินไป ควรพร้อมปรับเปลี่ยนการวิเคราะห์เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
- ใช้เป็นแนวทางในการตั้งสมมติฐาน แต่ต้องพร้อมยอมรับเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
สรุปแล้ว ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ตลาดการเงิน แต่ไม่ใช่ “เครื่องมือวิเศษ” ที่สามารถทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำเสมอไป การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝน ประสบการณ์ และการใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ อย่างเหมาะสม