ทฤษฎี Dow Theory คืออะไร
ทฤษฎี Dow หรือ Dow Theory เป็นหนึ่งในทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เก่าแก่และมีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดการเงิน ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Charles Dow ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Dow Jones & Company และเป็นบรรณาธิการคนแรกของ The Wall Street Journal ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แม้ว่า Charles Dow จะไม่ได้เขียนทฤษฎีนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดของเขาได้ถูกรวบรวมและพัฒนาต่อโดยนักวิเคราะห์รุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง William Hamilton และ Robert Rhea
ทฤษฎี Dow มีจุดมุ่งหมายในการระบุแนวโน้มระยะยาวของตลาดหุ้น โดยใช้การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลัก ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าตลาดโดยรวมสามารถให้ภาพที่แม่นยำของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นแต่ละตัว
หลักการพื้นฐานของทฤษฎี Dow
ทฤษฎี Dow ประกอบด้วยหลักการพื้นฐานหลายประการ ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคในปัจจุบัน ดังนี้
1. ตลาดคิดทุกอย่างเข้าไปในราคาแล้ว (The Market Discounts Everything)
หลักการนี้เชื่อว่าราคาตลาดในปัจจุบันได้สะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่การคาดการณ์อนาคต ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และจิตวิทยาของนักลงทุน ดังนั้น การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายจึงเพียงพอสำหรับการคาดการณ์แนวโน้มตลาด

2. ตลาดมีแนวโน้มหลัก 3 ประเภท (The Market Has Three Trends)
Dow เชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มหลัก 3 ประเภท:
- แนวโน้มหลัก (Primary Trend): เป็นแนวโน้มระยะยาวที่มักกินเวลาหลายเดือนถึงหลายปี
- แนวโน้มรอง (Secondary Trend): เป็นการปรับฐานหรือการแก้ไขของแนวโน้มหลัก มักใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
- แนวโน้มระยะสั้น (Minor Trend): เป็นความผันผวนระยะสั้นภายในแนวโน้มรอง มักใช้เวลาไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์

3. แนวโน้มหลักมี 3 เฟส (Primary Trends Have Three Phases)
ตามทฤษฎี Dow แนวโน้มหลักทั้งขาขึ้นและขาลงมักจะประกอบด้วย 3 เฟส:
สำหรับตลาดขาขึ้น (Bull Market):
- เฟสสะสม (Accumulation Phase): นักลงทุนที่มีข้อมูลเริ่มซื้อหุ้น ขณะที่ตลาดยังมีความรู้สึกในแง่ลบ
- เฟสเติบโต (Public Participation Phase): ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนทั่วไปเริ่มเข้ามาในตลาด
- เฟสฟอง (Excess Phase): เกิดการเก็งกำไรอย่างมาก ข่าวดีเริ่มปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์
สำหรับตลาดขาลง (Bear Market):
- เฟสจำหน่าย (Distribution Phase): นักลงทุนที่มีข้อมูลเริ่มขายหุ้น แม้ว่าข่าวเศรษฐกิจยังดูดี
- เฟสตื่นตระหนก (Panic Phase): ราคาเริ่มตกอย่างรวดเร็ว นักลงทุนเริ่มตื่นตระหนกและขายหุ้นออกมา
- เฟสท้อแท้ (Discouragement Phase): การซื้อขายซบเซา นักลงทุนเริ่มท้อแท้และสูญเสียความสนใจในตลาดหุ้น
4. ดัชนีต้องยืนยันซึ่งกันและกัน (Indices Must Confirm Each Other)
Dow เชื่อว่าสัญญาณของแนวโน้มตลาดจะน่าเชื่อถือก็ต่อเมือดัชนีหลักอย่างน้อยสองดัชนียืนยันซึ่งกันและกัน ในสมัยของ Dow เขาใช้ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones (Dow Jones Industrial Average – DJIA) และดัชนีขนส่ง Dow Jones (Dow Jones Transportation Average – DJTA) ในการวิเคราะห์ เขาเชื่อว่าหากเศรษฐกิจกำลังเติบโต ทั้งบริษัทผู้ผลิตและบริษัทขนส่งควรจะเติบโตไปด้วยกัน
5. ปริมาณการซื้อขายต้องยืนยันแนวโน้ม (Volume Must Confirm the Trend)
ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นในทิศทางของแนวโน้มหลัก กล่าวคือ ในตลาดขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น และลดลงเมื่อราคาปรับตัวลง ในทางกลับกัน ในตลาดขาลง ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นเมื่อราคาปรับตัวลดลง และลดลงเมื่อราคาฟื้นตัว
6. แนวโน้มยังคงอยู่จนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนว่ามันจบลงแล้ว (A Trend Is Assumed to Be in Effect Until It Gives Definite Signals That It Has Reversed)
หลักการนี้คล้ายกับกฎข้อที่หนึ่งของนิวตันที่ว่า วัตถุที่เคลื่อนที่จะยังคงเคลื่อนที่ต่อไปจนกว่าจะมีแรงมากระทำ ในทำนองเดียวกัน แนวโน้มตลาดที่กำลังดำเนินอยู่มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปมากกว่าที่จะเปลี่ยนทิศทาง ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มปัจจุบันจนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจนว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
การประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow ในปัจจุบัน
แม้ว่าทฤษฎี Dow จะถูกพัฒนาขึ้นมากว่าศตวรรษแล้ว แต่หลักการพื้นฐานของมันยังคงมีความเกี่ยวข้องกับตลาดการเงินในปัจจุบัน นักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงใช้แนวคิดจากทฤษฎี Dow ในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้ในปัจจุบันอาจมีการปรับเปลี่ยนบางประการ:

- การใช้ดัชนีที่หลากหลายขึ้น: แทนที่จะใช้เพียงดัชนี DJIA และ DJTA นักวิเคราะห์สมัยใหม่มักจะพิจารณาดัชนีที่หลากหลายมากขึ้น เช่น S&P 500, Nasdaq Composite, Russell 2000 เพื่อให้ได้ภาพรวมของตลาดที่กว้างขึ้น
- การวิเคราะห์ในหลายกรอบเวลา: เทคโนโลยีการซื้อขายสมัยใหม่ทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มในหลายกรอบเวลาได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงรายปี
- การผสมผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ: นักวิเคราะห์มักจะใช้ทฤษฎี Dow ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (Relative Strength Index – RSI), และรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เพื่อให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำมากขึ้น
- การวิเคราะห์ตลาดทั่วโลก: ในยุคที่ตลาดการเงินมีการเชื่อมโยงกันทั่วโลก นักวิเคราะห์มักจะพิจารณาแนวโน้มของตลาดหลักทั่วโลก ไม่เพียงแค่ตลาดในประเทศเท่านั้น
- การใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์: ปัจจุบัน มีการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดตามหลักการของทฤษฎี Dow โดยสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ข้อวิจารณ์และข้อจำกัดของทฤษฎี Dow
แม้ว่าทฤษฎี Dow จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการการลงทุน แต่ก็มีข้อวิจารณ์และข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณา:
- การวิเคราะห์ย้อนหลัง (Hindsight Bias): ทฤษฎี Dow มักถูกวิจารณ์ว่าง่ายที่จะระบุจุดกลับตัวของตลาดเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ยากที่จะระบุในเวลาจริง
- ความล่าช้าในการให้สัญญาณ: เนื่องจากทฤษฎีนี้เน้นการยืนยันแนวโน้ม จึงอาจให้สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ ทำให้นักลงทุนอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรในช่วงต้นของแนวโน้มใหม่
- ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน: ทฤษฎี Dow เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรือเศรษฐกิจโดยตรง
- ความเรียบง่ายเกินไป: บางคนวิจารณ์ว่าทฤษฎีนี้มีความเรียบง่ายเกินไปสำหรับตลาดการเงินที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
- การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาด: โครงสร้างตลาดในปัจจุบันแตกต่างจากสมัยที่ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาก เช่น การมีตราสารอนุพันธ์ การซื้อขายความถี่สูง (High-Frequency Trading) ซึ่งอาจส่งผลต่อความแม่นยำของทฤษฎี
- ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงและการจัดการพอร์ตโฟลิโอ: ทฤษฎี Dow ไม่ได้ให้แนวทางในการจัดการความเสี่ยงหรือการกระจายการลงทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนสมัยใหม่
การประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow ในการลงทุน
แม้จะมีข้อจำกัด แต่หลักการของทฤษฎี Dow ยังคงมีประโยชน์สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ร่วมกับเครื่องมือและวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ ต่อไปนี้เป็นวิธีการที่นักลงทุนสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow ในการลงทุน:
- การระบุแนวโน้มหลักของตลาด: ใช้หลักการของทฤษฎี Dow ในการวิเคราะห์ว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรืออยู่ในช่วงพักตัว เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับแนวโน้มหลัก
- การยืนยันสัญญาณจากหลายแหล่ง: ใช้หลักการยืนยันซึ่งกันและกันของดัชนี โดยตรวจสอบสัญญาณจากดัชนีหลายตัวก่อนตัดสินใจลงทุน
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: พิจารณาปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- การระบุจุดกลับตัวของตลาด: ใช้หลักการของทฤษฎี Dow ในการระบุสัญญาณที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจกำลังจะสิ้นสุดลง
- การลงทุนตามแนวโน้มระยะยาว: เน้นการลงทุนตามแนวโน้มหลักของตลาด แทนที่จะพยายามคาดเดาความผันผวนระยะสั้น
- การผสมผสานกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ใช้ทฤษฎี Dow ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้น
- การปรับใช้กับตลาดอื่นๆ: แม้ว่าทฤษฎี Dow จะถูกพัฒนาขึ้นสำหรับตลาดหุ้น แต่หลักการของมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตลาดอื่นๆ ได้ เช่น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดเงินตราต่างประเทศ หรือแม้แต่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ทฤษฎี Dow เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน แม้ว่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่หลักการพื้นฐานของมันยังคงมีความเกี่ยวข้องกับตลาดการเงินสมัยใหม่ ทฤษฎีนี้นำเสนอกรอบแนวคิดที่มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด การระบุจุดกลับตัว และการตัดสินใจลงทุน
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ทฤษฎี Dow ไม่ได้สมบูรณ์แบบและไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรใช้ทฤษฎีนี้ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงคำนึงถึงการจัดการความเสี่ยงและการกระจายการลงทุน
ในยุคที่ตลาดการเงินมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันทั่วโลก การเข้าใจและประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow อย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับพลวัตของตลาด และช่วยในการตัดสินใจลงทุนที่มีข้อมูลรอบด้านมากขึ้น แม้ว่าไม่มีทฤษฎีหรือกลยุทธ์การลงทุนใดที่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ 100% แต่การเข้าใจหลักการพื้นฐานของทฤษฎี Dow สามารถเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในชุดเครื่องมือของนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว

สำหรับทุกคนที่อยากอ่านเนื้อหาสมบูรณ์ของ Dow theory ติดตามได้ที่ dojipedia.com มีดาวโหลดฟรีที่เว็บครับ แล้วก็เห็นมีใน internet แจกฟรีประปราย แต่ติดโฆษณา ผมเห็นเจ้าของเว็บเค้าโหลดลง MEB ด้วยครับ ไม่ติดโฆษณา อธิบายได้ละเอียดมาก