Market Structure Break คืออะไร
Market Structure Break หรือ Break of Structure (BOS) คือจุดที่ราคาสามารถทะลุผ่านโครงสร้างสำคัญของกราฟ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการต่อยอดของเทรนด์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการทำ Higher High ในช่วงขาขึ้น หรือ Lower Low ในช่วงขาลง

ลักษณะสำคัญของ Market Structure Break ได้แก่:
- ราคาสามารถเบรคผ่าน Swing High / Swing Low ก่อนหน้า ซึ่งเป็นจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้น
- มักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาเคลื่อนตัวอยู่ในทิศทางเดิมมาได้ระยะหนึ่ง แสดงถึงการมีแรงซื้อหรือขายต่อเนื่อง
- ยิ่งเกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ เช่น H4, Daily ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น
- การเกิด BOS มักจะส่งผลให้กราฟมีการวิ่งต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกันได้อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการย้อนตัวหรือพักฐาน
ความสำคัญของ Market Structure Break ต่อการวิเคราะห์เชิงเทคนิค
สำหรับนักเทรดที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก การระบุ Market Structure Break สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์หลายประการ เช่น:
- เป็นการคอนเฟิร์มการดำเนินต่อของเทรนด์ในปัจจุบัน ช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มของราคาทำได้ง่ายขึ้น
- บอกจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเข้าออเดอร์ตามเทรนด์ เนื่องจากราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
- ใช้เป็นเป้าหมายในการวางแผน Take Profit ของออเดอร์ที่ยังคงถือค้างอยู่ โดยอิงจากระดับ Swing High / Low ที่ถูกเบรคล่าสุด
- หากเกิด BOS ในทิศทางตรงกันข้ามกับออเดอร์ที่ถืออยู่ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ทำการปิดออเดอร์เพื่อตัดขาดทุนก่อนที่จะสายเกินไป
ประเภทของ Market Structure Break
Market Structure Break สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ ได้แก่:
1. Bullish Market Structure Break
Bullish BOS เกิดขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น และราคาสามารถเบรคผ่าน Swing High ก่อนหน้าขึ้นไปได้ นั่นหมายถึงการสร้างจุด Higher High ใหม่ สะท้อนถึงแรงซื้อที่มีมากกว่าแรงขายในตลาด
ตัวอย่างของ Bullish BOS เช่น:
- ราคาปิดเหนือ Swing High ล่าสุดได้อย่างชัดเจน บ่งบอกถึงการทะลุผ่านแนวต้านสำคัญ
- เกิดแท่งเทียนขาขึ้นที่มีขนาดยาวเป็นพิเศษ มักมาพร้อมกับโวลุ่มที่สูงกว่าปกติ
- หลังจากเกิด BOS ราคาสามารถรักษาระดับเหนือ Swing High เดิมได้อย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาเป็นเทรนด์ขาขึ้น
2. Bearish Market Structure Break
ในทางตรงกันข้าม Bearish BOS จะเกิดขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง แล้วราคาสามารถเบรคลงต่ำกว่า Swing Low ก่อนหน้าได้ กลายเป็นการสร้าง Lower Low ใหม่ขึ้นมา แสดงถึงแรงขายที่เหนือกว่าในตลาด
ตัวอย่างของ Bearish BOS เช่น:
- ราคาปิดต่ำกว่า Swing Low ล่าสุดได้แบบชัดเจน นั่นคือการทะลุหลุดแนวรับสำคัญ
- เกิดแท่งเทียนขาลงขนาดยาวผิดปกติ ที่มาพร้อมกับโวลุ่มหนาแน่นกว่าเดิม
- หลังจาก BOS ราคาก็ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่า Swing Low เดิมได้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นเทรนด์ขาลงเต็มตัว
วิธีการหา Market Structure Break บนกราฟ
สำหรับนักเทรดแล้ว การค้นหา Market Structure Break บนกราฟ สามารถทำได้ดังนี้:
- สังเกต Swing High / Low ล่าสุดบนกราฟ ในกรอบเวลาที่สนใจ เช่น H1, H4
- ลากเส้น Trendline เชื่อม Swing High / Low หลายๆ จุดที่เรียงต่อเนื่องกัน
- รอให้ราคาเคลื่อนไหวไปทดสอบ Trendline และสังเกตปฏิกิริยาของราคา
- หากราคาสามารถเบรคผ่าน Trendline ขึ้นไปได้อย่างชัดเจน นั่นคือ Bullish BOS
- หากราคาเบรคหลุด Trendline ลงมาอย่างชัดเจน นั่นคือ Bearish BOS
- เมื่อเกิด BOS ให้สังเกตการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของราคา ว่ามีการพัฒนาเป็นเทรนด์ใหม่ต่อจากนั้นหรือไม่
- นอกจากแนว Trendline แล้ว ก็ยังสามารถใช้ระดับ Fibonacci, Pivot Point หรือ EMA เป็นจุดอ้างอิงในการหา BOS ได้ด้วย

ข้อควรระวังในการใช้ Market Structure Break
แม้ว่า Market Structure Break จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และวางแผนเทรด แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้งานอยู่บ้าง ได้แก่:
- BOS เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัย ไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการตัดสินใจเปิดออเดอร์ แต่ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย
- การเบรคโครงสร้างไม่ได้การันตีว่าจะเกิดเทรนด์ต่อเนื่องเสมอไป บางครั้งราคาอาจย้อนกลับหลังเบรคเพียงช่วงสั้นๆ
- ต้องคอนเฟิร์มกับสัญญาณอื่นๆ เช่น Pattern, Indicator, Candlestick ฯลฯ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ BOS อย่างเดียว
- เทรนด์ที่เกิดหลัง BOS อาจจบลงเร็วหรือช้าแตกต่างกัน ดังนั้นต้องใช้การอ่านกราฟอย่างต่อเนื่องและปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
- ไม่ควรประมาทในการใช้ Leverage สูง เพราะถ้าเกิด BOS ในทิศทางตรงข้ามอาจทำให้ขาดทุนเกินตัวได้
สรุป
Market Structure Break เป็นจุดที่ราคาสามารถเบรคผ่านโครงสร้างสำคัญของกราฟ ไม่ว่าจะเป็นแนว Trendline, Swing High / Low หรือระดับต่างๆ ที่เคยกำหนดขอบเขตของราคาไว้ก่อนหน้า
การเกิด BOS แสดงถึงการมีแรงซื้อ/ขายที่เหนือกว่า และมักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของราคาในทิศทางที่เบรคผ่าน ซึ่งถ้าหากสามารถใช้ได้ดีจะทำให้วิเคราะห์แม่นยำมากขึ้น