ความหมายของแท่ง Imbalance
- แท่ง Imbalance หรือแท่งความไม่สมดุล เป็นรูปแบบหนึ่งของแท่งเทียน (Candlestick Pattern) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันของแรงซื้อและแรงขายในช่วงเวลาหนึ่งๆ
- มักปรากฏขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอุปสงค์หรืออุปทานของคู่สกุลเงิน ส่งผลให้ราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นพิเศษ
- แท่ง Imbalance บ่งบอกถึงการเข้ามาแทรกแซงของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด ซึ่งสามารถดูดซับสภาพคล่องและบิดเบือนทิศทางของราคาในระยะสั้นได้
- การเกิดแท่ง Imbalance บ่อยครั้ง มักเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดในอนาคตอันใกล้
- แท่ง Imbalance ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักเทรดวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์การสะสมอุปสงค์อุปทานตามแนวคิด Smart Money Concept
ประเภทของแท่ง Imbalance
- Bullish Imbalance: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นแท่งเทียนขนาดใหญ่ มีไส้เทียนยาวและอาจมีเงาบนสั้นๆ สะท้อนการเข้ามาของแรงซื้อที่มากกว่าแรงขายอย่างเห็นได้ชัด
- Bearish Imbalance: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างเห็นได้ชัด มักจะเป็นแท่งเทียนทิศทางลงขนาดใหญ่ ไส้เทียนยาว และอาจมีเงาล่างสั้นๆ แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาทำกำไรและกดดันให้ราคาตกลงอย่างหนัก
- Neutral Imbalance: เป็นแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ แต่ราคาปิดอยู่ตรงกลางหรือใกล้เคียงจุดกึ่งกลางพอสมควร มีลักษณะคล้ายแท่งเทียน Doji ที่มีไส้เทียนสั้นมาก อาจสะท้อนถึงภาวะตลาดที่เกิดความไม่แน่นอนหรือสงครามระหว่างแรงซื้อกับแรงขายในช่วงเวลานั้น
วิธีการหาแท่ง Imbalance บนกราฟ

- สังเกตขนาดของแท่งเทียนเทียบกับแท่งข้างเคียง หากมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เช่น ยาวกว่าเกิน 2-3 เท่าของแท่งเฉลี่ย อาจบ่งชี้ถึงการเกิด Imbalance
- วัดระยะห่างระหว่างจุดปิดกับจุดกึ่งกลางของแท่ง ถ้าอยู่ห่างกันมาก เช่น ปิดที่ 80% ของความสูงในแท่งขาขึ้น หรือต่ำกว่า 20% ในแท่งขาลง ก็อาจนับเป็น Imbalance ได้
- ลองเปรียบเทียบปริมาณการซื้อขาย (Volume) กับแท่งอื่นๆ ด้วย หากมีความผิดปกติสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างเห็นได้ชัด ก็มีโอกาสที่จะเป็นแท่ง Imbalance
- ดูบริเวณที่แท่ง Imbalance เกิดขึ้น ถ้าอยู่ใกล้ระดับ Support/Resistance สำคัญ หรือเกิดขึ้นหลังจากช่วง Consolidation ที่ยาวนาน ก็อาจยิ่งเพิ่มนัยสำคัญของมัน
- ใช้ Indicator ประเภท Volatility เช่น Bollinger Bands หรือ ATR เพื่อวัดความผันผวนของราคา ถ้าแท่ง Imbalance เกิดขึ้นพร้อมกับความผันผวนที่สูงผิดปกติ ก็น่าจะสะท้อนการเปลี่ยนแปลงสภาพตลาดได้ดี
การประยุกต์ใช้แท่ง Imbalance ในการวิเคราะห์กราฟ
- ถ้าราคาเคลื่อนไหวออกจากแท่ง Imbalance ไปได้ไกลพอสมควร อาจแสดงถึงจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ ให้ลองมองหาจังหวะเปิดออเดอร์ตาม
- หากเกิด Bullish Imbalance ที่กราฟ Daily ขณะที่เทรนด์กำลังขาขึ้น อาจหมายถึงจุดสะสมกำลังของการขึ้นระลอกใหม่ทีแรงกว่าเดิม
- แท่ง Bearish Imbalance ที่เกิดหลังจากราคาขึ้นไปชนแนวต้านหรือระดับ Overbought ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเกิดการกลับตัวของราคาในเร็วๆ นี้
- ลองสังเกตการเกิดแท่ง Imbalance ที่มีรูปแบบซ้ำๆ แล้วดูว่าราคามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเนื่องจากนั้น เพื่อใช้เป็นแนวทางการเทรดในอนาคต
- ใช้แท่ง Imbalance มาร่วมกับเครื่องมือและแนวคิดอื่นๆ เช่น EMA, Fibonacci, Pivot Point เพื่อยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์
ข้อควรระวังในการวิเคราะห์แท่ง Imbalance
- ไม่ใช่ทุกแท่งเทียนที่ผิดปกติจะถือเป็นสัญญาณของ Imbalance เสมอไป บางครั้งอาจเกิดจากข่าวหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่ได้สะท้อนภาพรวมตลาด
- แท่ง Imbalance มีความน่าเชื่อถือแตกต่างกันไปในแต่ละกรอบเวลา โดยกรอบใหญ่มักให้น้ำหนักมากกว่า ควรวิเคราะห์หลายๆ Timeframe ประกอบกัน
- การใช้แท่ง Imbalance เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาบริบทของตลาดโดยรวมด้วย เช่น เทรนด์ ปริมาณการซื้อขาย คู่แข่ง รวมถึงปัจจัยพื้นฐาน
- ระวังการเกิด False Signal หรือสัญญาณหลอกจากแท่ง Imbalance ที่ดูเหมือนชัดเจนในตอนแรก แต่สุดท้ายไม่สามารถพัฒนาไปเป็นการเคลื่อนไหวระยะยาวได้จริง
- แท่ง Imbalance มักให้ผลดีในตลาดที่มีสภาพคล่องและความผันผวนสูงในระดับหนึ่ง ดังนั้นต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละคู่สกุลเงินประกอบด้วย
สรุป
แท่ง Imbalance คือรูปแบบหนึ่งของแท่งเทียนที่สะท้อนความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาด มักเป็นสัญญาณของการเข้ามาแทรกแซงของผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาในระยะสั้น
ที่มา: https://www.forexduck.com/154807/