ความหมายของ Buy Side และ Sell Side Liquidity
Buy Side Liquidity หมายถึง โซนบนกราฟราคาที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมากของนักเทรดรายย่อย ซึ่งมักถูกวาง ณ จุดที่คาดว่าราคาจะไม่ลงไปต่ำกว่านั้น เช่น บริเวณ Demand Zone, Support, หรือระดับ Fibonacci ที่ใช้เป็นแนวรับ
ในทางกลับกัน Sell Side Liquidity ก็คือโซนที่มีคำสั่งขายสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก มักอยู่ในบริเวณ Supply Zone, Resistance, หรือระดับ Fibonacci ที่เป็นแนวต้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจุดที่นักเทรดคาดว่าราคาจะไม่ขึ้นไปสูงกว่านั้นแล้ว
ตามแนวคิด Smart Money Concept นักลงทุนรายใหญ่มักใช้กลยุทธ์กวาดสภาพคล่อง (Liquidity Sweep) โดยการผลักดันราคาให้ไปถึงบริเวณที่มีออเดอร์หนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Buy Side หรือ Sell Side เพื่อ Trigger ให้ออเดอร์เหล่านั้นทำงาน ก่อนจะดึงราคากลับไปในทิศทางตรงข้ามเพื่อทำกำไร
ดังนั้น การแยกแยะและระบุว่าโซนไหนเป็น Buy Side Liquidity หรือ Sell Side Liquidity ได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดในการคาดเดาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต และวางแผนจุดเข้าออกออเดอร์ให้เหมาะสม
วิธีการสังเกต Buy Side และ Sell Side Liquidity บนกราฟ

การหา Buy Side และ Sell Side Liquidity นั้น มีหลักการคล้ายกับการหา Liquidity Zone ทั่วไป โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟในหลายๆ Timeframe ร่วมกัน เพื่อหาบริเวณที่ราคามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไปถึงและสร้างปฏิกิริยาบางอย่าง ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้:
- Buy Side Liquidity มักอยู่ในบริเวณ:
- Demand Zone หรือแนวรับสำคัญที่ราคาเคยตีกลับหลายครั้ง
- จุดต่ำสุด (Swing Low) ของการเคลื่อนไหวในอดีต
- ระดับ Fibonacci Retracement 61.8%, 78.6% หรือ 88.6% ในช่วงขาขึ้น
- เส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับ
- Order Block ที่เกิดจากการซื้อจำนวนมากในอดีต
- Sell Side Liquidity มักอยู่ในบริเวณ:
- Supply Zone หรือแนวต้านสำคัญที่ราคาเคยชนและตกลงมาหลายครั้ง
- จุดสูงสุด (Swing High) ของการเคลื่อนไหวในอดีต
- ระดับ Fibonacci Retracement 38.2%, 50% หรือ 61.8% ในช่วงขาลง
- เส้นแนวโน้มขาลงที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน
- Order Block ที่เกิดจากการขายจำนวนมากในอดีต
นอกจากตำแหน่งแล้ว เรายังสามารถสังเกต Buy และ Sell Side Liquidity ได้จากปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในช่วงนั้นๆ โดยบริเวณที่มี Volume สูงกว่าปกติ มีแนวโน้มที่จะเป็น Liquidity Zone ที่มีนัยยะสำคัญ ซึ่งอาจถูกกวาดโดยนักลงทุนรายใหญ่ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การแปลความหมายของ Buy Side และ Sell Side Liquidity จำเป็นต้องพิจารณาบริบทของตลาดโดยรวมด้วย เช่น ถ้าตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น การกวาด Buy Side Liquidity มักจะเป็นการย้ำแนวโน้มเดิม และราคามีโอกาสที่จะเด้งกลับขึ้นไปสูงกว่าเดิม ในทางตรงข้าม หากตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง การกวาด Sell Side Liquidity ก็มักจะนำไปสู่การร่วงลงต่อของราคา เป็นต้น
ประโยชน์ของการระบุ Buy Side และ Sell Side Liquidity ในการเทรด
- คาดการณ์ทิศทางของราคา: เมื่อราคาเข้าใกล้ Buy Side Liquidity มีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้น ส่วนเมื่อใกล้ Sell Side Liquidity ราคามักจะพุ่งขึ้นไปชนและตกลงมา
- หาจุดเปิดออเดอร์: เมื่อเกิด Liquidity Sweep แล้วราคาย้อนกลับมาหา Buy/Sell Side เดิม มักเป็นจังหวะที่ดีในการเปิดออเดอร์ตามทิศทางของการ Sweep
- วางแผน Stop Loss: ในการเปิด Buy ควรวาง Stop Loss ต่ำกว่า Buy Side Liquidity ส่วนในการเปิด Sell ควรวาง Stop Loss สูงกว่า Sell Side Liquidity เพื่อให้มีระยะห่างพอที่ราคาจะไม่ไปแตะและเกิดการ Stop Out โดยไม่จำเป็น
- ใช้เป็น Take Profit: หากราคาเคลื่อนไปในทิศทางของออเดอร์ จุด Buy Side และ Sell Side Liquidity ก็สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการทำกำไรและปิดออร์เดอร์ได้เช่นกัน
แม้ว่าการแยกแยะ Buy Side และ Sell Side Liquidity จะช่วยให้นักเทรดคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาและวางกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่รับประกันความสำเร็จในการเทรดเสมอไป จะต้องอาศัยความเข้าใจในปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค, แนวโน้มตลาด, ข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงต้องมีการบริหารความเสี่ยงและเงินทุนที่ดี ไม่ควรใช้ Leverage มากเกินไป และต้องรู้จักตัดขาดทุนตามแผนที่วางไว้เมื่อราคาเคลื่อนไหวในทางตรงข้ามกับที่คาด
สรุป
Buy Side และ Sell Side Liquidity คือบริเวณบนกราฟราคาที่มีการสะสมของออเดอร์ซื้อและขายตามลำดับ ซึ่งมักจะอยู่ตรงจุดสำคัญทางเทคนิค ในตลาด Forex นักลงทุนรายใหญ่มักใช้กลยุทธ์ในการกวาดสภาพคล่องบริเวณเหล่านี้เพื่อหาประโยชน์จากการสั่นไหวของราคา โดยจะผลักดันราคาให้ไปถึงโซนที่ต้องการ เพื่อ Trigger ให้คำสั่งซื้อขายทำงาน ก่อนจะดึงกลับมาทิศทางเดิมเพื่อเก็บกำไร
ดังนั้นการหยั่งรู้ว่าบริเวณไหนเป็น Buy Side หรือ Sell Side Liquidity จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อนักเทรด ในการคาดการณ์ทิศทางของราคา หาจุดเข้าออกออเดอร์ที่เหมาะสม ตลอดจนใช้วางแผน Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่หากใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยอื่นๆ อย่างรอบด้าน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากตลาดได้ดียิ่งขึ้น