
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อหนังสือ : ลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์
ชื่อผู้แต่ง : Marry Buffett (แมรี่ บัพเฟ็ตต์), David Clark (เดวิด คลาร์ค)
ชื่อผู้แปล : พรชัย รัตนนนทชัยสุข
สำนักพิมพ์ : วิสดอมเวิร์คเพรส
ISBN : 9786169098454
จำนวนหน้า : 388 หน้า
หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน
สารบัญ
- คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมวอร์เรนจึงไม่เล่นหุ้น และการไม่เล่นหุ้นของเขาทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนเบอร์หนึ่งของอเมริกาได้อย่างไร?
- วิธีการที่วอร์เรนใช้ในการทำกำไรอย่างงามจากข่าวร้ายที่มากระทบบริษัท
- วอร์เรนหาประโยชน์จากการคิดระยะสั้นของตลาดได้อย่างไร?
- บริษัทสามารถทำให้นักลงทุนรวยได้อย่างไร?
- อันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ : ประเภทของธุรกิจที่วอร์เรนกลัวและหลีกเลี่ยง
- ประเภทของธุรกิจที่วอร์เรนชอบ : วิธีการที่เขาใช้ในการค้นหาบริษัทที่ดีที่สุดที่ควรเข้าไปลงทุน
- ใช้กลยุทธ์การลงทุนของวอร์เรนเพื่อหลีกเลี่ยงการตกต่ำครั้งใหญ่ของหุ้นไฮเทคในรอบต่อไป
- อัตราดอกเบี้ยและราคาหุ้น : วอร์เรนหาประโยชน์จากสิ่งที่คนอื่นมองข้ามได้อย่างไร
- ปริศนาเกี่ยวกับวัฏจักรตลาดหมีและตลาดกระทิงและวิธีการที่วอร์เรนหาประโยชน์จากมัน
- วอร์เรนตระหนักถึงโอกาสซื้อในขณะที่คนอื่นๆ พลาดได้อย่างไร
ฯลฯ
สรุปข้อคิดจากหนังสือ
“ลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์” เปิดเผยปรัชญาการลงทุนอันลึกซึ้งของนักลงทุนระดับตำนาน โดยอดีตลูกสะใภ้ของเขาเอง หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยให้บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผู้อ่านจะได้เรียนรู้วิธีคิดและมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้
1. มองการลงทุนเป็นการซื้อธุรกิจ ไม่ใช่แค่ซื้อหุ้น
บัฟเฟตต์ไม่ได้มองว่าตนเองกำลังเล่นหุ้น แต่มองว่ากำลังซื้อธุรกิจที่ดี การคิดเช่นนี้ทำให้เขามุ่งเน้นไปที่คุณภาพของบริษัท มากกว่าความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น ผู้อ่านจะเรียนรู้ว่าการมีมุมมองเช่นนี้จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น และไม่หวั่นไหวไปกับกระแสตลาดที่ผันผวน แนวคิดนี้ยังช่วยให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสในการลงทุนที่มักถูกมองข้ามโดยนักเก็งกำไรระยะสั้น
2. มองหาบริษัทที่มี “คูเขาทางเศรษฐกิจ”
บัฟเฟตต์ชอบบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน หรือที่เรียกว่า “คูเขาทางเศรษฐกิจ” ซึ่งช่วยปกป้องธุรกิจจากคู่แข่ง ผู้อ่านจะเข้าใจว่าการลงทุนในบริษัทที่มีคุณสมบัตินี้จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะบริษัทสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย การมองหาบริษัทที่มีคุณสมบัตินี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
3. ให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)
บัฟเฟตต์ใช้ ROE เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการบริหารของบริษัท ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีวิเคราะห์ ROE และเข้าใจว่าทำไมบริษัทที่มี ROE สูงอย่างสม่ำเสมอจึงมักเป็นการลงทุนที่ดี การให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นคุณภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจง่าย
บัฟเฟตต์เชื่อในการลงทุนเฉพาะธุรกิจที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้อ่านจะตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ และหลีกเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่ซับซ้อนเกินไป แนวคิดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดเนื่องจากขาดความเข้าใจในธุรกิจนั้นๆ การยึดหลักการนี้ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสของการลงทุนได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
5. มองหาบริษัทที่มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
บัฟเฟตต์ชอบบริษัทที่มีประวัติการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องและคาดการณ์ได้ ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของบริษัท และเข้าใจว่าทำไมการเติบโตที่สม่ำเสมอจึงสำคัญต่อการสร้างมูลค่าในระยะยาว การมองหาบริษัทเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีเสถียรภาพและให้ผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการไม่แน่นอน
6. ให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้ของบริษัท
บัฟเฟตต์ชอบบริษัทที่มีหนี้สินต่ำหรือไม่มีหนี้สินเลย ผู้อ่านจะเข้าใจว่าทำไมบริษัทที่มีหนี้สินน้อยจึงมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากกว่า และสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนได้ดีกว่า การพิจารณาปัจจัยนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง และมีโอกาสเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
7. มองหาบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูง
บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับบริษัทที่สามารถสร้างกำไรสุทธิสูงอย่างสม่ำเสมอ ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิและเข้าใจว่าทำไมบริษัทที่มีกำไรสูงจึงมักเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว การมองหาบริษัทเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีคุณภาพสูง และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากเงินปันผลและการเติบโตของราคาหุ้น
8. ใช้ประโยชน์จากพลังของการทบต้น
บัฟเฟตต์เข้าใจและใช้ประโยชน์จากพลังของการทบต้นอย่างเต็มที่ ผู้อ่านจะตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนระยะยาวและการนำผลกำไรกลับมาลงทุนต่อ แนวคิดนี้จะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพของการสร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลผ่านการลงทุนอย่างมีวินัยและอดทน การเข้าใจและใช้ประโยชน์จากหลักการนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
9. มองหาโอกาสในช่วงตลาดขาลง
บัฟเฟตต์มองว่าช่วงตลาดขาลงเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นดีๆ ในราคาถูก ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์และใช้เหตุผลในการตัดสินใจลงทุน แม้ในช่วงที่ตลาดผันผวน การมีมุมมองเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวไปกับความกลัวในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
10. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
บัฟเฟตต์เน้นการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท มากกว่าการคาดเดาทิศทางตลาด ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และเข้าใจว่าทำไมการซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ การมีทักษะนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี การใช้หลักการนี้ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีราคาสูงเกินจริงได้อีกด้วย
11. ระวังการลงทุนในธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างต่อเนื่อง
บัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ผู้อ่านจะเข้าใจว่าทำไมธุรกิจเหล่านี้มักให้ผลตอบแทนต่ำในระยะยาว และเรียนรู้วิธีระบุธุรกิจที่มีคุณสมบัติตรงข้าม การตระหนักถึงปัจจัยนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่อาจประสบปัญหาทางการเงินในอนาคตได้
12. มองหาบริษัทที่มีความสามารถในการขึ้นราคาสินค้า
บัฟเฟตต์ชอบบริษัทที่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยไม่สูญเสียลูกค้า ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีระบุบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา และเข้าใจว่าทำไมคุณสมบัตินี้จึงสำคัญในการรักษาความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว การมองหาบริษัทเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อ
13. ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่ดีของบริษัท
บัฟเฟตต์เน้นความสำคัญของทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและซื่อสัตย์ ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีประเมินคุณภาพของทีมผู้บริหาร และเข้าใจว่าทำไมการบริหารจัดการที่ดีจึงสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของบริษัท การพิจารณาปัจจัยนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกบริษัทที่มีโอกาสเติบโตและสร้างมูลค่าได้อย่างยั่งยืน
14. ใช้ประโยชน์จากผลประโยชน์ทางภาษี
บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อ่านจะเรียนรู้วิธีการลดภาระภาษีจากการลงทุนอย่างถูกกฎหมาย และเข้าใจว่าทำไมการคำนึงถึงผลกระทบทางภาษีจึงสำคัญต่อผลตอบแทนสุทธิจากการลงทุน การใส่ใจในประเด็นนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
15. มีความอดทนและไม่ทำอะไรมากเกินไป
บัฟเฟตต์เชื่อในการลงทุนระยะยาวและไม่ซื้อขายบ่อยเกินไป ผู้อ่านจะเข้าใจความสำคัญของความอดทนในการลงทุน และเรียนรู้ว่าการทำอะไรน้อยลงบางครั้งก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แนวคิดนี้จะช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการตัดสินใจที่มากเกินไป และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
สรุป
“ลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์” เป็นหนังสือที่เปิดเผยแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนอันทรงพลังของนักลงทุนระดับตำนาน ผู้อ่านจะได้เรียนรู้วิธีคิดและมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้ หลักการสำคัญที่บัฟเฟตต์ยึดถือ เช่น การมองการลงทุนเป็นการซื้อธุรกิจ การให้ความสำคัญกับคุณภาพของบริษัท และการมีความอดทนในการลงทุน ล้วนเป็นแนวทางที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ การนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถพัฒนาทักษะและสร้างความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน