สรุปหนังสือ หุ้นสามัญ กับ กำไรที่ไม่สามัญ

หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ
หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ

Table of Contents

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : หุ้นสามัญ กับ กำไรที่ไม่สามัญ

ชื่อผู้แต่ง : ฟิลิป ฟิชเชอร์ (Philip Fisher)

ชื่อผู้แปล : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สำนักพิมพ์ : ฟิเดลลิตี้พับลิชชิ่ง

ปีที่พิมพ์ : 2010

จำนวนหน้า : 328  หน้า

หมวดหนังสือ :  บริหาร ธุรกิจ , การลงทุน

สารบัญ

  • ส่วนที่ 1 หุ้นสามัญ กับ กำไรที่ไม่สามัญ
  • ส่วนที่ 2 นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมนอนหลับสบาย
  • ส่วนที่ 3 การพัฒนาปรัชญาการลงทุน
  • ส่วนที่ 4 หุ้นสามัญ กับ ทางสู่ความมั่งคั่ง

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ” เขียนโดย ฟิลิป ฟิชเชอร์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งหุ้นเติบโต” นำเสนอแนวคิดการลงทุนที่มุ่งเน้นการหาหุ้นเติบโต (Growth Stock) ผ่าน “กฎ 15 ข้อ ของฟิชเชอร์” และ “คำนินทา” หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่อธิบายวิธีการเลือกหุ้นที่ดี แต่ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับจังหวะในการซื้อและขายหุ้น รวมถึงปรัชญาการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงต่ำ นับเป็นหนังสือคลาสสิกที่นักลงทุนไม่ควรพลาด

1. มองหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน

ฟิชเชอร์แนะนำให้ลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ความได้เปรียบนี้อาจมาจากเทคโนโลยี แบรนด์ หรือกระบวนการผลิตที่เหนือกว่า การมีจุดแข็งเช่นนี้จะช่วยให้บริษัทรักษาส่วนแบ่งตลาดและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรวิเคราะห์ว่าความได้เปรียบนี้จะยั่งยืนได้นานแค่ไหน และบริษัทมีแผนรักษาความได้เปรียบนี้อย่างไรในระยะยาว การมองหาบริษัทที่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

2. ให้ความสำคัญกับอัตรากำไร ไม่ใช่แค่ยอดขาย

การเติบโตของยอดขายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ฟิชเชอร์เน้นย้ำว่าต้องพิจารณาอัตรากำไรควบคู่กันไปด้วย บริษัทที่ดีต้องสามารถรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรได้แม้ในภาวะการแข่งขันสูง นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินประสิทธิภาพในการทำกำไรของบริษัท การวิเคราะห์อัตรากำไรจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนและการสร้างมูลค่าเพิ่มของบริษัท ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น

3. ประเมินศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา

บริษัทที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีโอกาสสร้างนวัตกรรมและรักษาความได้เปรียบในตลาด ฟิชเชอร์แนะนำให้พิจารณาสัดส่วนงบประมาณด้าน R&D เทียบกับยอดขาย และติดตามผลลัพธ์ที่ได้ นักลงทุนควรประเมินว่าบริษัทมีวิสัยทัศน์และความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดได้หรือไม่ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาไม่เพียงแต่ช่วยสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

4. ศึกษาคุณภาพของทีมบริหาร

ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัท ฟิชเชอร์เน้นให้ประเมินประวัติ ผลงาน และความซื่อสัตย์ของผู้บริหารระดับสูง นักลงทุนควรติดตามการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ของทีมบริหาร รวมถึงนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี การประเมินคุณภาพของทีมบริหารอาจทำได้โดยการศึกษาประวัติการทำงาน การให้สัมภาษณ์ และการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ทีมบริหารที่มีความสามารถจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นวิกฤตและสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

5. วิเคราะห์วัฒนธรรมองค์กรและความพึงพอใจของพนักงาน

บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและพนักงานที่มีความพึงพอใจสูงมักจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า ฟิชเชอร์แนะนำให้สังเกตอัตราการลาออกของพนักงาน ความสามารถในการดึงดูดคนเก่ง และนโยบายการพัฒนาบุคลากร นักลงทุนอาจหาข้อมูลจากรีวิวของพนักงานหรือการสำรวจความคิดเห็นภายในองค์กร เพื่อประเมินสภาพแวดล้อมการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรที่ดีจะช่วยสร้างความผูกพันของพนักงานต่อบริษัท ส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว

6. ติดตามแนวโน้มของอัตรากำไรสุทธิ

ฟิชเชอร์ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิย้อนหลังหลายปี เพื่อดูแนวโน้มการเติบโตและความสามารถในการรักษาระดับกำไร บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและการสร้างมูลค่าเพิ่ม นักลงทุนควรเปรียบเทียบอัตรากำไรกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมด้วย การติดตามแนวโน้มนี้จะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะยาว และประเมินได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ดีเพียงใด

7. พิจารณาโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่าย

การเติบโตของรายได้ควรมาพร้อมกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ฟิชเชอร์เน้นให้วิเคราะห์แนวโน้มของต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เทียบกับยอดขาย นักลงทุนควรระวังบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ เพราะอาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการบริหารจัดการ การวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนจะช่วยให้เข้าใจถึงความสามารถในการทำกำไรและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัท บริษัทที่มีการควบคุมต้นทุนที่ดีจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

8. ประเมินสภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม

ฟิชเชอร์แนะนำให้วิเคราะห์สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ ความรุนแรงของการแข่งขันส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร นักลงทุนควรพิจารณาจำนวนคู่แข่ง อำนาจต่อรองของลูกค้าและซัพพลายเออร์ รวมถึงโอกาสในการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ เพื่อประเมินความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว การเข้าใจสภาพการแข่งขันจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมและโอกาสในการเติบโตของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงอาจทำให้การรักษาอัตรากำไรเป็นไปได้ยาก แต่บริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งอาจสามารถเติบโตได้ดีแม้ในสภาวะที่ท้าทาย

9. ศึกษากลยุทธ์และเป้าหมายระยะยาวของบริษัท

บริษัทที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ชัดเจนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า ฟิชเชอร์เน้นให้พิจารณาแผนธุรกิจระยะยาว การลงทุนในโครงการใหม่ๆ และความสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด นักลงทุนควรประเมินความเป็นไปได้ของเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ และติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผน การศึกษากลยุทธ์ระยะยาวจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางการเติบโตของบริษัทและประเมินได้ว่าบริษัทมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีหรือไม่ บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและสามารถปรับตัวได้ดีมักจะสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้ดีกว่าในระยะยาว

10. ระมัดระวังการคาดการณ์ที่เกินจริงของผู้บริหาร

ฟิชเชอร์เตือนให้ระวังผู้บริหารที่มักให้คำมั่นสัญญาหรือคาดการณ์ผลประกอบการที่สูงเกินจริง นักลงทุนควรเปรียบเทียบผลการดำเนินงานจริงกับเป้าหมายที่ประกาศไว้ในอดีต และประเมินความน่าเชื่อถือของการคาดการณ์ในอนาคต การให้ข้อมูลที่โปร่งใสและสมเหตุสมผลเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร นักลงทุนควรระมัดระวังบริษัทที่มักจะประกาศเป้าหมายที่สูงเกินจริงแต่ไม่สามารถทำได้ตามที่กล่าวอ้าง เพราะอาจสะท้อนถึงปัญหาในการบริหารจัดการหรือการขาดความเข้าใจในธุรกิจของตนเอง

11. ประเมินความโปร่งใสและจริยธรรมของผู้บริหาร

ฟิชเชอร์ให้ความสำคัญกับคุณธรรมและจริยธรรมของทีมบริหารเป็นอย่างมาก ผู้บริหารที่ขาดจริยธรรมอาจนำพาบริษัทไปสู่ความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและกฎหมาย นักลงทุนควรติดตามประวัติการทำงาน การเปิดเผยข้อมูล และการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียของผู้บริหาร รวมถึงนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี การประเมินความโปร่งใสอาจทำได้โดยการศึกษารายงานประจำปี การเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ และการตอบคำถามของนักลงทุนในการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดีมักจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่ต่ำกว่า

12. หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นที่ราคาแพงเกินไป

แม้จะเป็นบริษัทที่ดีเพียงใด ฟิชเชอร์เตือนว่าการซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไปอาจทำให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า นักลงทุนควรประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทและเปรียบเทียบกับราคาตลาด โดยใช้เครื่องมือวัดมูลค่าต่างๆ เช่น P/E ratio, PEG ratio หรือ DCF analysis เพื่อหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม การซื้อหุ้นในราคาที่สมเหตุสมผลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีและลดความเสี่ยงจากการขาดทุนหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงในอนาคต นักลงทุนควรมีความอดทนและรอจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน

13. อย่ามองข้ามโอกาสในการลงทุนในหุ้นดี

ฟิชเชอร์แนะนำให้จดบันทึกหุ้นที่น่าสนใจไว้ แม้ว่าราคาในปัจจุบันอาจจะสูงเกินไป เพราะโอกาสในการลงทุนอาจมาถึงเมื่อตลาดผันผวนหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นักลงทุนควรติดตามหุ้นเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ และเตรียมพร้อมที่จะลงทุนเมื่อราคาลดลงมาสู่ระดับที่น่าสนใจ การมีรายชื่อบริษัทที่ดีติดไว้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อโอกาสมาถึง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้หุ้นคุณภาพดีมีราคาที่น่าสนใจ

14. ระวังการถูกหลอกด้วยการนำเสนอที่สวยหรู

ฟิชเชอร์เตือนให้ระมัดระวังการตัดสินใจลงทุนจากการนำเสนอที่สวยหรูหรือการต้อนรับที่ดีในงานประชุมผู้ถือหุ้น นักลงทุนควรมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและผลการดำเนินงานจริงของบริษัท มากกว่าการถูกชักจูงด้วยการนำเสนอที่น่าประทับใจ การตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งและการวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลทางการเงิน แนวโน้มของอุตสาหกรรม และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดๆ

15. อย่าขายหุ้นเพียงเพราะราคาสูงขึ้น

ฟิชเชอร์เชื่อว่าการถือครองหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพในระยะยาวเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน แม้ว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นมาก นักลงทุนไม่ควรรีบขายออกเพียงเพราะกลัวว่าราคาจะลดลง หากบริษัทยังคงมีศักยภาพในการเติบโตและสร้างผลกำไรที่ดี การถือครองต่อไปอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว นักลงทุนควรทบทวนเหตุผลในการลงทุนและประเมินศักยภาพของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ หากปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง การถือครองหุ้นต่อไปอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขายออกและพลาดโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

สรุป

หนังสือ “หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ” ของฟิลิป ฟิชเชอร์ นำเสนอแนวคิดการลงทุนที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์คุณภาพของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านการเงิน การบริหารจัดการ และศักยภาพในการเติบโต ฟิชเชอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และจริยธรรม รวมถึงมีความสามารถในการสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

แนวคิดของฟิชเชอร์ยังคงมีความทันสมัยและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการลงทุนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ การวิเคราะห์อย่างรอบด้านตามหลักการของฟิชเชอร์จะช่วยให้นักลงทุนสามารถค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทที่ไม่มีคุณภาพ

ท้ายที่สุด ฟิชเชอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของความอดทนและวินัยในการลงทุน การถือครองหุ้นของบริษัทที่ดีในระยะยาวอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่ง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้นก็ตาม หนังสือเล่มนี้จึงเป็นคู่มือที่มีคุณค่าสำหรับนักลงทุนทุกระดับที่ต้องการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว