
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อหนังสือ : พิชิตหุ้นและฟิวเจอร์สด้วยคลื่นเอลเลียต
ชื่อผู้แต่ง : ป.ดัชนี (ประจบ วงษ์นิ่ม)
สำนักพิมพ์ : Nation Books
ปีที่พิมพ์ : 2559
จำนวนหน้า : 338 หน้า
หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน
สารบัญ
- บทที่ 1 : ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
- บทที่ 2 หลักการนับคลื่นเอลเลียต
- บทที่ 3: คลื่นเอลเลียตกับตัวเลขฟิโบนัชชี
- บทที่ 4: การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตด้วยสัดส่วนตัวเลขฟิโบนัชชี
สรุปข้อคิดจากหนังสือ
หนังสือเล่มนี้แนะนำเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ช่วยให้เข้าใจถึงโอกาส ทิศทาง และระยะเวลาของการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ตลาด และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อ หรือขายออกจากตลาดได้ถูกจังหวะ
1. ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตถูกคิดค้นโดย Ralph Nelson Elliott ในปี 1930 โดยใช้ข้อมูลจากดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ย้อนหลัง 75 ปี
ในช่วงปี 1930 Ralph Nelson Elliott นักบัญชีชาวอเมริกันได้ศึกษาข้อมูลในอดีตของดัชนีดาวโจนส์ เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีมีรูปแบบซ้ำๆ กัน แม้จะต่างกันที่ระยะทางและเวลา ซึ่งสามารถนำมาพยากรณ์ทิศทางของราคาในอนาคตได้
2. การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปตามหลักธรรมชาติ เกิดจากแรงกระทำ (Action) และแรงโต้กลับ (Reaction)
ดัชนีตลาดหรือราคาไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แต่จะเคลื่อนไปตามแนวโน้มของตลาด พร้อมกับการปรับตัวย้อนกลับสวนทางไปมา การขึ้นลงนี้เป็นไปตามกฎธรรมชาติ เช่นเดียวกับคลื่นในมหาสมุทร มีจุดสูงสุดและต่ำสุด คลื่นเอลเลียตเกิดขึ้นจากแรงกระทำที่ผลักให้ราคาเคลื่อนไปตามแนวโน้มหลัก และแรงโต้กลับที่ทำให้ราคาปรับตัวย้อนกลับสวนทาง
3. พฤติกรรมของนักลงทุนในการตอบสนองต่อข่าวสารข้อมูลนั้นเป็นไปในรูปแบบซ้ำๆ ต่างกันที่ขนาดและเวลา
พฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนเกิดจากการตอบสนองต่อข่าวสาร เมื่อมองภาพรวมแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดเป็นรูปแบบซ้ำๆ ในวงจรของมัน ทำให้สามารถนำมาคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ แม้รูปแบบจะซ้ำกัน แต่ความต่างจะอยู่ที่ขนาดและระยะเวลาที่เกิด
4. คลื่นเอลเลียตประกอบด้วยคลื่นส่ง (Impulse Wave) และคลื่นปรับ (Corrective Wave)
โครงสร้างของคลื่นเอลเลียตประกอบด้วยคลื่นส่ง 5 คลื่น เป็นคลื่นที่เคลื่อนไปตามทิศทางแนวโน้มหลักของตลาด สลับกับคลื่นปรับ 3 คลื่น ที่เคลื่อนย้อนกลับสวนกับแนวโน้ม คลื่นส่งเป็นคลื่นที่เกิดจากแรงซื้อหรือขาย ผลักดันให้ราคาเคลื่อนไปในทิศทางเดิม ส่วนคลื่นปรับเกิดจากแรงสวนทาง พยายามปรับราคากลับมายังแนวรับ
5. คลื่นส่งประกอบด้วย 5 คลื่น เรียงลำดับเป็นคลื่น 1-2-3-4-5
คลื่นส่งเป็นคลื่นที่มีรูปแบบชัดเจน ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย ได้แก่ คลื่นที่ 1, 3, 5 เคลื่อนไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก ต่อด้วยคลื่นปรับที่ 2 และ 4 ที่ปรับตัวย้อนกลับ คลื่นส่งรอบใหญ่ประกอบด้วยคลื่นส่งย่อย 5 คลื่น และคลื่นปรับย่อย 3 คลื่นเป็นลำดับชั้นลงไปเรื่อยๆ ข้อสังเกตคือ คลื่น 2 ต้องไม่ปรับลดต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 และคลื่น 4 ต้องไม่ปรับลดต่ำกว่าปลายของคลื่น 1
6. คลื่นปรับประกอบด้วย 3 คลื่นหรือมากกว่า เรียงลำดับเป็นคลื่น A-B-C
เมื่อคลื่นส่งเคลื่อนจบลง ตลาดจะย้อนกลับเข้าสู่คลื่นปรับ ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อยเป็นอย่างน้อย เริ่มจากคลื่น A ที่ปรับตัวลดลง ตามด้วยคลื่น B ฟื้นตัวกลับขึ้นมาปรับแนวรับใหม่ ก่อนปรับตัวลงอีกครั้งในคลื่น C สิ้นสุดคลื่นปรับ ภายในคลื่นปรับ อาจประกอบไปด้วยคลื่นย่อยอื่นๆ แต่มักจะมีโครงสร้างพื้นฐานเป็น 3 คลื่น
7. รูปแบบการซ้ำของคลื่นเอลเลียตพบได้ในกราฟระยะสั้นและระยะยาว
การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตสามารถประยุกต์ใช้ได้กับกราฟระยะสั้น เช่น กราฟรายชั่วโมง รายวัน ไปจนถึงกราฟรายสัปดาห์ รายเดือน ที่มีระยะเวลายาวนานหลายปี แม้กราฟจะมีขนาดและระยะเวลาแตกต่างกัน แต่สามารถเทียบเคียงได้ภายใต้โครงสร้างคลื่นเดียวกัน
8. จุดจบของคลื่นส่งคลื่นที่ 5 และจุดสิ้นสุดของคลื่นปรับ บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่สำคัญ
เมื่อคลื่นส่ง 5 คลื่นเคลื่อนสิ้นสุดลงพร้อมกับจบคลื่นที่ 5 บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดแนวโน้มเดิม ก่อนจะปรับเข้าสู่คลื่นปรับ เช่นเดียวกับคลื่นปรับ เมื่อเคลื่อนจบลงที่คลื่น C ราคาจะเริ่มกลับตัวอีกครั้ง เข้าสู่ทิศทางใหม่ ดังนั้น จุดสิ้นสุดของคลื่นส่งคลื่น 5 และคลื่นปรับ C จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มที่นักลงทุนควรจับตามอง
9. คลื่นเอลเลียตกำหนดลำดับชั้นของคลื่นตามความสัมพันธ์และระยะเวลาที่เกิด
ลำดับชั้นคลื่นเอลเลียตประกอบด้วย Grand Supercycle, Supercycle, Cycle, Primary, Intermediate, Minor, Minute, Minuette และ Sub-Minuette โดยคลื่นแต่ละลำดับจะมีระยะเวลาที่ต่างกัน เช่น Grand Supercycle ใช้เวลาเป็นศตวรรษหรือมากกว่า ไล่ลงมาถึง Sub-minuette ที่ครอบคลุมเวลาสั้นๆ ราคาในตลาดเคลื่อนไหวไปตามคลื่นในแต่ละลำดับชั้น ฝังซ้อนอยู่ภายในคลื่นที่ใหญ่กว่า เป็นลำดับลงไปเรื่อยๆ
10. สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมกันในการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
นอกจากการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีคลื่นเอลเลียตแล้ว นักลงทุนยังสามารถใช้เครื่องมือยืนยันอื่นๆ ประกอบการวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้มากขึ้น เช่น เส้นแนวโน้ม ช่องแนวโน้ม สัญญาณจาก Oscillator ปริมาณการซื้อขาย และอื่นๆ การประยุกต์ใช้หลักการทางเทคนิคร่วมกัน ช่วยให้มีมุมมองที่หลากหลายในการยืนยันทิศทางของคลื่น
11. Fibonacci Ratio มีความสัมพันธ์กับคลื่นเอลเลียต
อัตราส่วน Fibonacci ซึ่งเป็นค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์ ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของคลื่นเอลเลียต เช่น ความสัมพันธ์ของจำนวนคลื่นส่งและคลื่นปรับ ระยะการปรับตัวของคลื่น และการคำนวณเป้าหมายราคา อัตราส่วน Fibonacci ที่นิยมใช้ ได้แก่ 38.2%, 50%, 61.8% เป็นต้น การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตควบคู่กับ Fibonacci จะช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับการคาดการณ์เป้าหมายราคาได้ดียิ่งขึ้น
12. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการนับคลื่นเอลเลียต ได้แก่ การนับคลื่นโดยมีอคติ และการนับที่ซับซ้อนเกินไป
การนับคลื่นที่มีความลำเอียงหรืออคติส่วนตัวจะทำให้เกิดความผิดพลาด เช่น การคิดว่าคลื่นต้องเคลื่อนไปตามที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือการนับคลื่นที่ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น แทนที่จะมองหาคลื่นหลักที่ชัดเจน ข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจทำให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อน ดังนั้น ควรมีใจเป็นกลางและเลือกนับคลื่นเฉพาะที่มีนัยสำคัญจริงๆ
13. การนำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุน ควรวิเคราะห์ให้เห็นภาพใหญ่ก่อน ค่อยลงไปดูรายละเอียดของคลื่นย่อย
เพื่อให้เข้าใจทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดในภาพรวม นักลงทุนควรเริ่มจากการวิเคราะห์กราฟระยะยาว ที่แสดงแนวโน้มสำคัญก่อน จากนั้นจึงลงไปดูรายละเอียดในกราฟระยะสั้นลงไปตามลำดับ การวิเคราะห์แบบ Top-down นี้ ช่วยให้เห็นความสอดคล้องของทิศทางคลื่นในหลายช่วงเวลา และลดความเสี่ยงจากการมองข้ามภาพรวมของตลาด
14. ควรยอมรับความเป็นไปได้หลายทางเมื่อนับคลื่น ไม่ยึดติดกับการคาดการณ์ที่ตายตัว
บางครั้งการเคลื่อนไหวของราคาอาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับการนับคลื่นแบบต่างๆ นักลงทุนจึงควรเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ไม่ควรยึดติดกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งจนเกินไป ความยืดหยุ่นจะช่วยให้ปรับเปลี่ยนมุมมองได้ทันเมื่อเกิดความผันผวนขึ้นในตลาด
15. ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตไม่สามารถบอกอนาคตได้อย่างแน่นอน แต่ช่วยวางแผนรับมือความเป็นไปได้ต่างๆ
แม้ว่าคลื่นเอลเลียตจะมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาด แต่ก็ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ 100% เนื่องจากตลาดมีความผันผวนและความไม่แน่นอนเสมอ สิ่งที่ทำได้คือการประเมินโอกาสและความน่าจะเป็นของสถานการณ์ต่างๆ ผ่านการวิเคราะห์คลื่น เพื่อวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การตัดสินใจควรอิงกับหลักการ ไม่ใช่ยึดติดตามตัวเลขหรือสูตรสำเร็จจนเกินไป
สรุป
หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยคลื่นเอลเลียต ผู้เขียนได้นำเสนอหลักการพื้นฐานและองค์ประกอบหลักของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต ตั้งแต่การกำเนิดทฤษฎี ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมนักลงทุนกับรูปแบบกราฟ ลำดับชั้นของคลื่นต่างๆ รวมถึงข้อควรระวังในการวิเคราะห์ที่มักพบบ่อย นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง พร้อมแนวทางในการบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย แม้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตจะไม่สามารถรับประกันผลกำไรที่แน่นอน แต่หากศึกษาและทำความเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ ประกอบกับการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็นับเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนเป็นอย่างมาก ช่วยให้มองเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา และโอกาสในการเข้าซื้อขายได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น