สรุปหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน

เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน
เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน

Table of Contents

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน

ชื่อผู้แต่ง : กวี ชูกิจเกษม

สำนักพิมพ์ : เนชั่นบุ๊คส์

จำนวนหน้า : 160 หน้า

ปีที่พิมพ์ : 2559

หมวดหนังสือ : หุ้นและการลงทุน

สารบัญ

  • บทนำ
  • บทที่ 1 ทบทวนกระบวนยุทธ์ลงทุนแนว VI
  • บทที่ 2 สร้างผลตอบแทนมหัศจรรย์
  • บทที่ 3 การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Top Down Approach
  • บทที่ 4 พื้นฐานการประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Bottom Up Approach
  • บทที่ 5 ใช้เงินปันผลเป็นกระแสเงินสดในการประเมินมูลค่าหุ้น
  • บทที่ 6 การประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้อัตราส่วน P/E
  • บทที่ 7 การประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้อัตราส่วน P/BV
  • บทที่ 8 กลุ่มอุตสาหกรรมการเลือกวิธีการประเมินมูลค่าหุ้น
  • บทที่ 9 อุปสรรคการประเมินมูลค่าหุ้น
  • บทที่ 10 ค่าเผื่อความปลอดภัย Margin of Safety
  • บทที่ 11 อย่าลืมสิ่งที่เหลือ
  • บทส่งท้าย

 

 

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือ “เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน” แต่งโดย คุณกวี ชูกิจเกษม นักลงทุนมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นมานานกว่า 20 ปี เนื้อหาในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว พร้อมกับเปิดเผยวิธีประเมินมูลค่าหุ้นจากประสบการณ์จริงของคุณกวี หนังสือเล่มนี้จะมาไขคำตอบว่าจะลงทุนอย่างไรให้ได้กำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการคัดเลือกหุ้นคุณภาพ การซื้อในจังหวะที่ราคาเหมาะสม และการบริหารพอร์ตลงทุนแบบระยะยาว

1. เข้าใจความแตกต่างระหว่าง “บริษัทที่ดี” กับ “หุ้นที่ดี”

หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า บริษัทที่ดีก็คือ หุ้นที่ดี แต่ในความเป็นจริง บริษัทที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม กำไรงาม ไม่ได้หมายความว่าหุ้นของบริษัทนั้นจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจเสมอไป เพราะราคาหุ้นอาจจะแพงเกินไปจนไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ดังนั้นนักลงทุนต้องพิจารณาประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น เปรียบเทียบกับราคาตลาด ไม่ใช่แค่มองผลประกอบการของบริษัทเพียงอย่างเดียว จึงจะรู้ว่าหุ้นนั้นถูกหรือแพง น่าลงทุนหรือไม่

2. ลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง

หุ้นที่ควรเลือกลงทุนต้องเป็นหุ้นที่บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่ง กล่าวคือต้องมีความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มีฐานะการเงินมั่นคงดี ไม่พึ่งพาเงินกู้หรือเครดิตจากสถาบันการเงินมากเกินไป ผู้บริหารต้องเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และวิสัยทัศน์ และที่สำคัญบริษัทต้องเป็นผู้นำในธุรกิจหรือมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่ากิจการจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

3. อดทนรอซื้อหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม

แม้จะเจอหุ้นพื้นฐานดี แต่ก็ไม่ควรใจร้อนซื้อทันทีโดยไม่สนราคา เพราะการซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไป แม้จะเป็นหุ้นดีก็ตาม จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นต้องอดทนรอให้ราคาหุ้นปรับลดลงมาสู่ระดับที่เหมาะสมจึงค่อยซื้อ โดยคุณกวีแนะนำว่า จังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นคือ เมื่อราคาลดลงมา 30-50% จากจุดสูงสุด เพราะจะเป็นจุดที่ความเสี่ยงขาลงเหลือน้อยแล้ว

4. ลงทุนแบบกระจายพอร์ต

ไม่ว่าจะมั่นใจในหุ้นตัวไหนแค่ไหน ก็ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว เพราะการกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมากพอสมควร จะช่วยลดความผันผวนและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า คุณกวีแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยถือหุ้นไม่ควรเกิน 10 บริษัท ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันประมาณ 3-4 อุตสาหกรรม เพราะหากถือหุ้นมากเกินไปจะติดตามไม่ทั่วถึง แต่ถ้าถือน้อยเกินไปจะเสี่ยงเกินไป

5. อดทนถือหุ้นในระยะยาว

หลักการสำคัญของการลงทุนแบบ VI คือ การอดทนถือหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี แต่อาจถึง 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะการถือครองหุ้นไปนานๆ จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท และจากการคอมพาวด์ของเงินปันผลไปด้วย ยิ่งถือนานก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนทบต้นทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นนักลงทุน VI ต้องไม่ใจร้อนขายหุ้นทิ้งเพียงเพราะราคาขึ้นไปเล็กน้อยเท่านั้น

6. ประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้นอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีแล้ว นักลงทุน VI ต้องทำการบ้านต่อโดยการติดตามผลประกอบการและประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้นในพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องนำข้อมูลกำไรในแต่ละปีมาปรับสมมติฐานที่ใช้คำนวณใหม่ เพื่อให้ได้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันที่อัปเดตแล้ว จะได้เปรียบเทียบได้ว่ามูลค่าหุ้นที่เปลี่ยนไปเพราะอะไร หากลดลงเพราะปัจจัยระยะสั้นก็ไม่ต้องกังวล แต่ถ้ามูลค่าลดเพราะพื้นฐานระยะยาวย่ำแย่ลง ก็ต้องชั่งใจตัดสินใจว่าจะถือต่อหรือขายทิ้ง

7. เข้าใจความสัมพันธ์ของมูลค่าเงินตามเวลา

หนังสือเล่มนี้อธิบายหลักการความสัมพันธ์ของมูลค่าเงินตามเวลา หรือ Time Value of Money ได้ชัดเจนมาก ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญในการประเมินมูลค่าหุ้น ทำให้เราเข้าใจวิธีการนำกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตมาคิดส่วนลด (Discount) กลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันได้ จะทำให้ตีมูลค่าหุ้นและตัดสินใจลงทุนได้แม่นยำขึ้น เพราะมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการลงทุนนั้นๆ

8. ใช้เงินปันผลประเมินมูลค่าหุ้น

หนังสือเล่มนี้แนะนำวิธีการใช้เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต มาคำนวณหามูลค่าพื้นฐานของหุ้นในปัจจุบัน ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยคุณกวีให้ใช้สมมติฐานที่ว่าเงินปันผลจะเติบโตในอัตราคงที่ตลอดไปในอนาคต (ปรับด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสม) แล้วนำมารวมกันเป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นนั้น วิธีนี้จะให้ค่าที่ค่อนข้างแม่นยำ เพราะเงินปันผลเป็นเม็ดเงินที่นักลงทุนจะได้รับกลับมาจริงๆ

9. ROE คือตัวบ่งชี้ศักยภาพในการเติบโตของบริษัท

หนังสือเล่มนี้ให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) มาก เพราะถือเป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สะท้อนศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทได้ดีที่สุด หุ้นที่ ROE สูงก็มักจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงด้วย คุณกวีจึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นที่มี ROE สูงๆ เกิน 15-20% เป็นอย่างน้อย และมีแนวโน้มคงที่หรือเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพราะจะเป็นหลักประกันได้ว่าบริษัทน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งเราก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นนั้น

10. เปรียบเทียบ P/E ของหุ้นกับอัตราการเติบโต

คุณกวีอธิบายวิธีประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ซึ่งจะบอกได้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้นในปีล่าสุด แต่ตัวเลขนี้จะมีความหมายมากขึ้นถ้านำไปเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไร โดยทั่วไปแล้วหุ้นควรจะมี P/E ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโต (Growth) เพราะราคาหุ้นควรสะท้อนการเติบโตในอนาคต ดังนั้นหากหุ้นตัวไหนมี P/E ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไร ก็แสดงว่าน่าจะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับศักยภาพ ในทางกลับกันหากมี P/E สูงกว่าอัตราเติบโตมากๆ ก็อาจจะแพงเกินไป

11. P/BV ใช้ดีกับหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน

นอกจาก P/E แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังอธิบายการใช้อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ในการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย โดย P/BV จะเหมาะกับการประเมินหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร หรือ บริษัทประกัน เป็นพิเศษ เนื่องจากสินทรัพย์และหนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทเหล่านี้จะอยู่ในรูปเงินสด ซึ่งแสดงมูลค่าทางบัญชีได้ค่อนข้างชัดเจนและเชื่อถือได้ ต่างจากสินทรัพย์ของบริษัททั่วไปที่อาจเป็นที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ ซึ่งมูลค่าทางบัญชีอาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง

12. ระวังกับดักมูลค่าพื้นฐานติดลบ

ในการประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้นตามสูตรต่างๆ ในหนังสือ บางครั้งอาจให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นติดลบได้ ซึ่งมันผิดหลักการ เพราะมูลค่าของบริษัทไม่น่าจะติดลบได้ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใส่อัตราการเติบโตระยะยาว (g) ที่สูงมากเกินไปจนเกินความน่าเชื่อถือ วิธีแก้คือการปรับลดสมมติฐานอัตราการเติบโตลงมาให้สมเหตุสมผล เช่น ไม่ควรเกินผลรวมของเงินเฟ้อและการเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่อให้ได้มูลค่าหุ้นที่มีความหมายมากขึ้น

13. ซื้อหุ้นที่ได้ส่วนลดจากมูลค่าพื้นฐาน

เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน เราไม่ควรซื้อหุ้นที่ราคาเท่ากับมูลค่าที่ประเมินได้ แต่ควรซื้อต่ำกว่ามูลค่าประมาณ 10-20% เพื่อเป็นการเผื่อความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่าได้ไม่แม่นยำ ช่วงส่วนต่างระหว่างมูลค่ากับราคาซื้อนี้ เรียกว่าความปลอดภัย (Margin of Safety) ซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ มักจะซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าถึง 50% เลยทีเดียว หากเราซื้อหุ้นได้ถูกกว่ามูลค่ามากเท่าไร ก็ยิ่งลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้มากขึ้นเท่านั้น

14. วิกฤติคือโอกาสในการลงทุน

ในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง ราคาหุ้นมักร่วงลงอย่างหนักจากแรงเทขายของนักลงทุนที่ตื่นตระหนก แต่พื้นฐานของหุ้นจำนวนมากจริงๆ แล้วอาจจะยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก หุ้นพื้นฐานดีหลายตัวที่ราคาลดลงไปมาก ๆ จนเหลือเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าที่แท้จริง กลายเป็นหุ้นราคาถูกที่น่าสนใจ นั่นคือโอกาสทองของนักลงทุนระยะยาว ที่จะได้หุ้นดีราคาถูกเข้าพอร์ต เพื่อรอรับผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต

15. อดทนและวินัย คือคุณสมบัติสำคัญของนักลงทุน

คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดสำหรับนักลงทุนสไตล์ VI ไม่ใช่ความฉลาดหรือความรู้มากมาย แต่คือความอดทนและวินัยในการลงทุน เพราะต้องอดทนศึกษาหาความรู้ให้รอบด้าน อดทนรอคอยจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า อดทนถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ แม้ใช้เวลานานหลายปี และที่สำคัญคือต้องมีวินัยที่จะทำตามแผนและหลักการลงทุนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสตลาดหรืออารมณ์ของตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ต้องฝึกฝนและพัฒนาขึ้นมา จึงจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางการลงทุนได้

สรุป

หนังสือ “เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน” อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาและเทคนิคการลงทุนหุ้นแบบ VI จากประสบการณ์จริงของ คุณกวี ชูกิจเกษม มหากาพย์การลงทุนเล่มนี้บอกเล่าวิธีการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดี อธิบายการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ พร้อมเปิดเผยเคล็ดลับความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว ผู้อ่านจะได้ข้อคิดมากมายในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนจากการลงทุนหุ้นแน่นอน